วันหนึ่ง ลูกศิษย์ บอกว่า อจ สอนเขียนบทความ ให้ความรู้คนอื่น ให้หน่อย
"จงสอน สิ่งที่ เราอยากรู้เมื่อเรายังเด็กกว่านี้ ไม่มีความรู้อะไร ช่วยเหลือให้เราดีขึ้น"
Teach younger you. สอนคนอื่น เหมือนสอนตัวเองที่ยังเยาว์วัย ไร้เดียงสา
แค่นี้
- อจ สุรัตน์
วันหนึ่ง ลูกศิษย์ บอกว่า อจ สอนเขียนบทความ ให้ความรู้คนอื่น ให้หน่อย
"จงสอน สิ่งที่ เราอยากรู้เมื่อเรายังเด็กกว่านี้ ไม่มีความรู้อะไร ช่วยเหลือให้เราดีขึ้น"
Teach younger you. สอนคนอื่น เหมือนสอนตัวเองที่ยังเยาว์วัย ไร้เดียงสา
แค่นี้
- อจ สุรัตน์
ในแต่ละวัน เราฟังคนอื่นบ่นมามากแค่ไหน บางคนบอกว่ามาก บางคนบอกว่า ชั้นสิ เป็นคนที่บ่นมากกว่า
มันได้ระบาย ความอัดอั้นตันใจ บ่นแล้วสมองโล่ง ว่างั้น
มีครั้งนึง คนขี้บ่นบอกว่า เมื่อบ่นบางอย่างออกไป สมอง ความคิด ความรู้สึกน่าจะโล่ง ส่วนคนที่รับฟัง จะเบื่อหรือจะตั้งใจฟัง ก็เป็นเรื่องของคนฟัง เหมือนการเขวี้ยงขยะลงในถังขยะ ที่เราก็ไม่ได้สนใจว่า คนจะเอาขยะไปทิ้งที่ไหนต่อ สบายใจดี
แต่การบ่นมันดีต่อใจจริงเหรอ?
ต้องบอกว่า มันเป็นความคิดที่ผิด
“การบ่นเหมือนการระบาย แต่บ่อยครั้งมันยิ่งทำให้เราหงุดหงิดมากขึ้น” ดร.เบิร์นสตีน ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง กล่าว และมีงานวิจัยมากมายที่ยืนยันเรื่องนี้
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cerebral Cortex แสดงให้เห็นว่า **การบ่นซ้ำ ๆ จะกระตุ้นและเสริมสร้างเส้นทางประสาทในสมองที่เกี่ยวข้องกับความคิดเชิงลบ นั่นหมายความว่า ยิ่งเราบ่นมากเท่าไร สมองก็จะยิ่ง "คุ้นชิน" กับรูปแบบความคิดแบบนั้นมากขึ้น เป็นเหมือนการ “ปูทาง” ให้สมองเลือกความคิดในแง่ร้ายได้ง่ายและบ่อยขึ้น
หลักการนี้คล้ายกับการฝึกกล้ามเนื้อ หากเราออกกำลังกายกล้ามเนื้อส่วนใดซ้ำ ๆ กล้ามเนื้อส่วนนั้นก็จะแข็งแรงขึ้น ในทางเดียวกัน **การใช้เส้นทางประสาทบางเส้นทางซ้ำ ๆ จะทำให้มันถูกเสริมสร้างและกลายเป็นอัตโนมัติ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Neuroplasticity หรือ ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงของสมอง
การหมุนวนอยู่กับปัญหาเดิม ๆ แบบไม่หาทางออกหรือไม่ยอมรับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ มันจะกลายเป็น "rumination" หรือ **การครุ่นคิดซ้ำ ๆ ที่เป็นอันตรายทางจิตใจ**
นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า “toxic venting” คือการระบายที่ไม่ได้ทำให้ดีขึ้น แต่กลับตอกย้ำความรู้สึกแย่ เช่น
- ยิ่งพูดยิ่งโกรธ
- ยิ่งเล่า ยิ่งรู้สึกเป็นเหยื่อ
- ยิ่งแชร์ ยิ่งเสพติดการได้รับความเห็นใจ
ดร.เจฟฟรีย์ เบิร์นสตีน นักจิตวิทยาที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปี เสนอวิธีแก้ไขง่าย ๆ แต่ทรงพลัง นั่นคือ การถามตัวเอง (หรือถามลูก) ว่า “เมื่อเทียบกับอะไร?”
น่าสนใจไหม คำถามสั้น ๆ แค่นี้ เปลี่ยนความคิดได้เหรอ
การถามว่า “เมื่อเทียบกับอะไร?” เป็นการกระตุ้นให้เกิด การมองใหม่ (Cognitive Reappraisal) ซึ่งเป็นเทคนิคทางจิตวิทยา ที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าช่วยคุมอารมณ์ได้ เพราะเป็นการบอกว่า มันมีมุมมองเปรียบเทียบ เปิดใจให้กว้าง ความทุกข์เรา มันปะติ๋วนะ
ตัวอย่าง
เด็กชายที่บ่นเรื่องอาหารกลางวัน: เมื่อแม่ถามเขาว่า “เมื่อเทียบกับอะไร?” เด็กชายเริ่มคิด และตอบว่า “ก็มีเด็กบางคนที่ไม่มีอาหารกลางวันกินเลย” แม้เขาจะยังไม่ชอบแซนด์วิชไก่งวง แต่ความรู้สึกขอบคุณที่เกิดขึ้นช่วยลดความหงุดหงิดลงได้
เด็ก ๆ เรียนรู้ผ่านการสังเกตพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory)
“พฤติกรรมของมนุษย์ส่วนใหญ่เรียนรู้ได้จากการสังเกตและเลียนแบบ”
ดังนั้น หากผู้ใหญ่สามารถฝึกตั้งคำถาม “เมื่อเทียบกับอะไร?” แทนการบ่นให้เป็นนิสัย เด็ก ๆ ก็จะซึมซับวิธีคิดที่ยืดหยุ่นและสร้างสรรค์นี้เช่นกัน
ลองดูคำถามกับผู้ใหญ่กัน
ผู้ใหญ่ที่กำลังเผชิญกับความผิดหวังในอาชีพ ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่ความวิตกเรื่องอายุ ก็สามารถใช้เครื่องมือนี้ได้เช่นกัน
เช่น ชายคนหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อถามตัวเองว่า “เมื่อเทียบกับอะไร?” เขาพบว่ากำลังเปรียบเทียบกับเพื่อนที่เลือกเส้นทางชีวิตต่างออกไป ซึ่งไม่ได้ดีกว่าเสมอไป นั่นสิ ความสุขมันก็ไม่ได้วัดจากการที่สูญเสีย ณ.เวลานั้น
เห็นไหม คือ ก็ไม่ได้ ว่าหุบปากห้ามบ่นเลย แต่หากมันบ่น จนเป็นนิสัยขี้บ่น มันยิ่งแย่ต่อสมองและจิตใจ ของคนบ่นเอง
อจ สุรัตน์
การหึงหวง ไม่ใช่เพราะรักเขา แต่เป็นเพราะรักตัวเอง
จริง ๆ แล้ว มันมาจากความกลัวล้วน ๆ
กลัวว่าเขาจะไม่สนใจเราเหมือนเดิม
กลัวว่าเขาจะไปชอบคนอื่นมากกว่า
กลัวว่าเราจะ “ไม่พอ” สำหรับเขา
แล้วก็กลัวว่าความรู้สึกที่ให้ไปจะโดนมองข้าม
หึงเพราะกลัวเสีย ไม่ใช่เพราะหวังดี
หวงเพราะกลัวเขาไปจากเรา ไม่ใช่เพราะอยากให้เขามีความสุข
บางทีเราก็แค่ไม่อยากแพ้ ไม่อยากถูกแทนที่
มันเลยกลายเป็นความรู้สึกที่เหนื่อย ทั้งกับตัวเองแล้วก็คนที่อยู่ข้าง ๆ
แต่ถ้ามองให้ลึกกว่านั้น
ความหึงหวงมันสะท้อน “ความยึดมั่นถือมั่น” ในตัวตนและความเป็นเจ้าของ
เป็นเหมือนกับการยึดคนคนหนึ่งไว้ให้เป็นของเรา ทั้งที่ในความเป็นจริง
ไม่มีใครเป็นของใครได้ตลอดไป
นักปราชญ์หลายคนเคยพูดไว้ว่า
“ความรักที่แท้จริงคือการปล่อยให้เป็นอิสระ ไม่ใช่การกักขังไว้ด้วยความกลัว”
เพราะถ้ารักแล้วต้องหวง ต้องควบคุม ต้องกลัวว่าจะถูกแย่ง
นั่นอาจไม่ใช่ความรัก แต่มันคือความอยากครอบครอง
และเมื่อความรักกลายเป็นกรง ความสุขก็จะบินหนีไปเสมอ
สุดท้ายแล้ว…
การปล่อยให้เขาได้เลือกทางของตัวเอง โดยที่เรายังยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง
นั่นแหละ คือรักที่โตพอ และรักตัวเองเป็นจริง ๆ
ลูกฉันเป็นคนดี
เพราะยังไงก็ยังเป็นคน คนนั้น ฝังด้วยความเห็นแก่ตัว พ่อแม่สอนแต่ความรักในครอบครัว แต่ไม่ได้สอนให้การเผื่อแผ่ความรักและการลดละความรักตัวเองจนเดือดร้อนคนอื่น
น่าเสียดาย เพราะคนที่จากไป เค้าก็รักชีวิตตัวเองเหมือนกัน
- อจ สุรัตน์
Trump เล่นเกมส์ “เขย่าโต๊ะ” เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง และบีบให้คู่เจรจาเข้าสู่โต๊ะเจรจาในจุดที่เขาได้เปรียบมากที่สุด
เคยอ่านหยังสือ เทคนิคนี้ ใน Art of the Deal ทรัมป์พูดถึงการใช้ “leverage” หรือแต้มต่อที่มีในการต่อรอง และมักใช้วิธีการกดดันอย่างแข็งกร้าวเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามยอมเจรจา หรือยอมถอย โดยการขึ้นภาษีก็เหมือนกับการ “เปิดเกมใหญ่” เพื่อเขย่าความมั่นคงของอีกฝ่าย แล้วใช้ความไม่แน่นอนเป็นอาวุธต่อรอง
คือ สิ่งที่เราต้องทราบถึงจุดหมายการทำตัว บ้าๆ บวมๆ กล้าลุยคือ การทำให้เกิดความไม่แน่นอนและความกลัว มันประหลาดดี แต่นี่คือ จิตวิทยาที่ได้ผล
สรุปหลักมาให้ Art of the Deal (ศิลปะแห่งการเจรจา)
1. คิดใหญ่ (Think Big) เขาเดิมพันสูง” เพราะถ้าจะเหนื่อยทั้งที ควรเหนื่อยกับของใหญ่ที่คุ้มค่า
2. ใช้ Leverage (แต้มต่อ) อย่างชาญฉลาด
คือ เขาบีบให้เข้ามาเจรจา การเจรจาที่ดีคือการรู้ว่าเราถือไพ่อะไร และใช้มันให้ถูกจังหวะ เช่น การขึ้นภาษีกับจีนก็เป็น “ไพ่ต่อรอง” ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย
3. สร้างความไม่แน่นอน (Unpredictability)
บ้าๆ คือไม่แน่นอน และทรัมป์มักใช้ความไม่แน่นอนให้เป็นประโยชน์ Art of the Deal (ศิลปะแห่งการเจรจา)
4. ทำให้ตัวเองดูเหมือนเป็นผู้ชนะเสมอ (Always look like a winner)
นักสร้างภาพลักษณ์ ก็นี่แหละ สไตล์ Elin เลย ภาพลักษณ์คือทุกสิ่ง ต้องทำให้ดูเหมือนประสบความสำเร็จ แม้จะยังไม่สำเร็จจริง เพื่อให้คนเชื่อและตาม
5. รู้จักจัดการกับสื่อ (Control the narrative)
หากติดตามนะ เค้าสื่อสารเร็ว สื่อสารหนัก ให้อยู่ในสื่อ กระแส เขาจะ “ขายเรื่องราว” ของตัวเองให้สื่อ และใช้สื่อเป็นเครื่องมือกดดันอีกฝ่าย
6. อย่ากลัวที่จะเดินออกจากดีล (Be ready to walk away)
ด้วยบุคลิกไม่แน่นอน เค้าใช้เป็นแต้มต่อ ถ้าดีลไม่คุ้ม หรืออีกฝ่ายไม่ยอมตาม เขาพร้อมจะ “เท” การเจรจา เพื่อแสดงว่าเขาไม่กลัวความล้มเหลว
คำถามคือ รู้แล้งไงต่อ
คนสไตล์ “Art of the Deal” แบบนี้จริงๆ มันก็ พอมีวิธีรับมือนะ
1. อย่าเล่นตามเกมส์ (Don’t get emotional or reactive) คนแบบนี้มักใช้แรงกดดันให้เราเสียสมดุล เช่น ข่มขู่, เล่นใหญ่, บีบด้วยเวลา ถ้าเรา “ตกใจ” หรือ “โกรธ” เราจะพลาดง่าย ต้องใจเย็นและมีแผนที่ชัดเจน
2. รู้ให้ทันเกม (Understand their leverage and intention) มองให้ออกว่าเขาใช้แต้มต่ออะไร และเขาต้องการอะไรจริง ๆ บางทีเสียงดังหรือบีบเราแรง ๆ ก็เพื่อให้เรารีบยอมข้อเสนอที่เขาเตรียมไว้แล้ว ตกใจมาก เสียเปรียบ
3. มีจุดยืนของตัวเอง (Know your own BATNA)
มัคืออะไร BATNA = Best Alternative To a Negotiated Agreement = ถ้าไม่ตกลง ดีลที่เรายอมรับได้ที่สุดคืออะไร ต้องรู้จุดถอยและจุดที่ยอมไม่ได้ อันนี้ มัน art มาก ต้องคนเชี่ยวชาญ รู้เขารู้เรา แนวขงเบ้ง
4. ใช้ “ความนิ่ง” เป็นอาวุธ (Silence and patience are power) คนที่เร่งให้เราตัดสินใจทันที มักกลัว “ความนิ่ง” เพราะมันหมายถึงว่าเราไม่กลัว การนิ่งคือการ reclaim power
อย่าไปเร่งมาก อย่างคนด่ารัฐบาลไทยนี่ อย่าเพิ่ง ใจเย็น เสียหมา
5. โยนกลับด้วยคำถาม (Answer pressure with questions)
ถ้าเขาใช้ความกดดันใส่เรา ลองถามกลับ เช่น
“คุณว่าเงื่อนไขนี้แฟร์กับทั้งสองฝ่ายหรือไม่?”
“ถ้าเราไม่ตกลงหละ คุณจะมีทางเลือกอย่างไรไหม?”
วิธีนี้บีบ ทำให้เขาต้องคิดและเปิดไพ่ก่อน
6. อย่ากลัวที่จะ “เดินออกจากดีล” เหมือนเขา
ต้องกล้าแสดงให้เห็นว่า เราไม่จำเป็นต้องได้ดีลนี้ก็ได้ ถ้าเงื่อนไขไม่แฟร์ — เมื่อเขารู้ว่าเรา “ไม่กลัว” เกมจะเปลี่ยน
ลองศึกษา ประวัติ Trump ดูสิ ชักเข้าชักออกทั้งนั้น ใครเพลี้ยงพล้ำ เสร็จโก๋
โหดแท้ ไม่ธรรมดา
- อจ สุรัตน์
"คำพูดที่เศร้าที่สุดในโลกอาจเป็นเพียงคำว่า ‘มันอาจจะเป็นไปได้’" — John Greenleaf Whittier
ความเสียใจคือประสบการณ์ร่วมของมนุษย์ แต่กลับเป็นสิ่งที่เราเข้าใจผิดอยู่เสมอ หลายคนคิดว่าความเสียใจเกิดจากอดีต—จากความผิดพลาด โอกาสที่พลาดไป หรือความสัมพันธ์ที่จบลง ทว่าในความเป็นจริง น้ำหนักที่แท้จริงของความเสียใจ อาจไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่อยู่ที่ “อนาคต” ที่เราคิดว่าเราได้สูญเสียไปต่างหาก
แม้ความเสียใจเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้และเป็นธรรมชาติของสิ่งมีขีวิต แต่บางครั้ง มันกลับดึงเราให้ตกหลุมลึกที่หาทางขึ้นไม่เจอ และวิ่งอยู่ในวังวนของความเสียใจ ซึ่งอาจทำให้เสียช่วงเวลาของชีวิตเราไปอย่างน่าเสียดาย เราจึงควรเรียนรู้ จิตวิทยาแห่งความเสียใจ ไว้เป็นเกราะป้องกันตัวเองและสร้างเกราะให้คนที่เรารัก
แม้โดยผิวเผิน ความเสียใจจะดูเหมือนเป็นอารมณ์ที่หวนคิดถึงอดีต แต่งานวิจัยทางจิตวิทยากลับพบว่า ความเสียใจนั้นมีลักษณะ “มองไปข้างหน้า”
Neal Roese นักจิตวิทยา ที่มีงานเรื่องความเสียใจ >> wiki https://en.wikipedia.org/wiki/Neal_Roese
จากการศึกษาโดย Neal Roese นักจิตวิทยาชั้นนำในปี 2005 ชี้ให้เห็นว่า ความเสียใจไม่ได้เกิดจากการคิดวนเวียนกับอดีตเท่านั้น แต่เป็นการ “จินตนาการว่าอดีตควรจะนำไปสู่ปัจจุบันหรืออนาคตที่ดีกว่านี้” กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันคือการคิดแบบ “ถ้าตอนนั้นฉัน…” ซึ่งเป็นการสร้างภาพอนาคตทางเลือกที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง
ข้อมูลจาก สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ยังระบุว่า ความเสียใจมักจะมาพร้อมกับความวิตกกังวล ความกลัว หรือความเศร้า ซึ่งไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ในอดีตโดยตรง แต่เกิดจากสิ่งที่เราคิดว่า “มันน่าจะเกิดขึ้นได้” ในอนาคตต่างหาก
จิตวิทยาการรู้คิด (Cognitive Psychology) บอกเราว่า ความเสียใจรุนแรงขึ้นเพราะกระบวนการคิดบางแบบ เช่น
การคิดแบบหายนะ (Catastrophizing): มองผลลัพธ์แย่ๆ ว่าร้ายแรงเกินจริง
การอุดมคติ (Idealization): มองอนาคตที่ไม่ได้เกิดขึ้นว่า “สมบูรณ์แบบ”
หนังสือ mode สำหรับการคิดเร็วและช้า โดย Daniel Kahneman
ในหนังสือ Thinking, Fast and Slow นักเศรษฐศาสตร์และนักจิตวิทยา Daniel Kahneman อธิบายว่า มนุษย์มีแนวโน้มจะ “กลัวการสูญเสีย” มากกว่าชื่นชมสิ่งที่ได้มา เราจึงรู้สึกเจ็บปวดกับ “อนาคตที่ไม่เกิดขึ้น” มากกว่าการยอมรับปัจจุบันที่มี
เช่น คนที่เสียใจที่ไม่เลือกเส้นทางอาชีพหนึ่งในอดีต จริงๆ แล้วเขาไม่ได้เสียใจแค่เรื่องการตัดสินใจ แต่กำลังโศกเศร้ากับ “ตัวตนที่เขาเชื่อว่าเขาน่าจะได้เป็น” ซึ่งล้วนมาจากจินตนาการทั้งสิ้น
ลองฟังเรื่องของ เอล นักดนตรีผู้มีพรสวรรค์ เธอเคยได้รับโอกาสไปเรียนต่อเมืองนอก แต่เธอปฏิเสธไป 20 ปีผ่านไป เธอไม่ได้เสียใจกับใบสมัครที่ไม่ได้ส่ง หรือเครื่องบินที่ไม่ได้ขึ้น แต่เสียใจกับ “ตัวเองที่น่าจะเป็น” — ศิลปินชื่อดัง ผู้เดินทางไปทั่วโลก
หรือเรื่องของ มาร์ก ผู้เลิกกับคนรักเพราะกลัวการผูกมัด แม้วันนี้เขาจะแต่งงานมีความสุขแล้ว แต่บางครั้งก็ยังรู้สึกเสียใจ ไม่ใช่เพราะอยากย้อนเวลากลับไป แต่เพราะเขาสงสัยว่า “ชีวิตจะเป็นอย่างไรถ้าเลือกอีกทางหนึ่ง”
คำกล่าวของ Steve Jobs ก็เตือนสติเราไว้ว่า:
"เวลาของคุณมีจำกัด อย่าใช้มันไปกับการใช้ชีวิตตามแบบของคนอื่น อย่าติดอยู่กับกรอบความคิดที่ไม่ได้เป็นของคุณ"
ความเสียใจหลายอย่างไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราต้องการจริงๆ แต่มาจากสิ่งที่สังคมหรือคนรอบตัวคาดหวังให้เราเป็น
งานวิจัยของ Thomas Gilovich และ Victoria Medvec แห่งมหาวิทยาลัยคอร์แนล พบว่า ผู้คนมักเสียใจกับ “สิ่งที่ไม่ได้ทำ” มากกว่าสิ่งที่ทำไปแล้ว
เหตุผลก็คือ การไม่ลงมือทำอะไรเลย เปิดโอกาสให้เราคิดไปได้ไม่มีที่สิ้นสุดว่า “มันน่าจะออกมาดีแค่ไหน” ขณะที่สิ่งที่เราทำไปแล้ว มีผลลัพธ์ชัดเจนให้เห็น
งานวิจัยยังเชื่อมโยงความเสียใจกับปัญหาทางสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้า ความเครียดเรื้อรัง และการตัดสินใจที่ไม่ดีในอนาคต มันยังทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “การปิดเรื่องราวชีวิต” (Narrative Foreclosure) — การที่คนๆ หนึ่งเชื่อว่า ชีวิตของเขาจบแล้ว เปลี่ยนอะไรไม่ได้อีกต่อไป
แล้วเราจะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้ความเสียใจฉุดรั้งชีวิตไว้?
1. คิดกลับอีกด้าน (Counter-Counterfactual Thinking):
ไม่ใช่แค่คิดว่า “มันน่าจะดีกว่านี้” แต่ลองคิดว่า “มันอาจจะแย่กว่านี้ก็ได้” วิธีนี้ช่วยฝึกใจให้รู้สึกขอบคุณกับปัจจุบัน
2. ถามตัวเองว่าเสียใจเพราะอะไร:
เสียใจเพราะเราอยากทำจริงๆ หรือเพราะใครๆ ก็บอกว่าควรทำ? บ่อยครั้งความเสียใจเกิดจากการไม่เป็นตามความคาดหวังของคนอื่น ไม่ใช่ของตัวเราเอง
3. เปลี่ยนความเสียใจให้เป็นพลัง:
Victor Frankl นักจิตวิทยาและผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกัน เคยกล่าวว่า “เมื่อความทุกข์มีความหมาย มันก็จะไม่ใช่ความทุกข์อีกต่อไป”
เราสามารถใช้ความเสียใจเป็นแรงผลักดันในการสร้างชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม
ความเสียใจไม่ใช่แค่เงาสะท้อนของอดีต แต่มันคือภาพสะท้อนของ “อนาคตที่ไม่ได้เกิดขึ้น” แต่แทนที่เราจะปล่อยให้อนาคตที่ไม่เป็นจริงนั้นมาหลอกหลอน เราสามารถเปลี่ยนมันเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างชีวิตใหม่ในวันนี้
ให้ความเสียใจมีความหมาย เป็นแรงผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้านะครับ
-อจ สุรัตน์
คนไข้หญิง อายุ 40 ปลาย เข้ามาหา บอกว่า ปวดเนื้อตัว แสบร้อน วันนึง ขยับแขนไม่ได้ เดี๋ยวซ้าย เดี๋ยวขวา ชาก็วิ่งวัน รักษามา 6 เดือนไม่หาย
ไป MRI ไม่เจออะไร ซักลึกลงไป มีความเครียดสูงมาก ค่ามะเร็งขึ้น ตรวจเยอะแยะไปหมด แม้ไม่เจอมะเร็งแต่ความเครียดฝังตัวไปแล้ว กลายเป็นคนวิตกและเกิดอาการทางกาย ทางระบบประสาท แบบไม่ทราบเหตุ
อจ ตรวจวิเคราะห์แล้วบอกว่ามันคือ Functional Neurological Disorder (FND) คือความผิดปกติที่เกิดขึ้น สมองสั่งมา แต่ไม่มีโรคจริง เรียกง่ายว่า "โรคใจสั่งมา" ตามเพลงพี่เสก โลโซ
คนเราอยู่ในสังคมที่มีแต่เรื่องที่ทำให้เกิดความเครียด กลายคนกลายเป็นคน sensitive ไวต่อทุกเรื่อง เสพข่าวกระตุ้นอารมณ์ อยู่กับเวลาที่วิ่งเร็ว จนจิตใจเหนื่อยล้าตามไม่ทัน กลายเป็นจิตใจไม่ปกติ ตกใจ วุ่นวายกับทุกสิ่ง
คนไข้บอกว่า สมองมันชินกับความเครียดไปแล้ว ผ่อนคลาย กลายเป็นเรื่องไม่ปกติ
อจ. รักษาและบอกไปว่า ไม่เป็นอะไร ไม่ใช่ multiple sclerosis, ไม่ใช่มะเร็ง ใจเย็น ๆ จงเรียบง่ายโดยสมัครใจ
ความเรียบง่ายโดยสมัครใจ - จงเลือกอยู่อย่างเรียบง่ายในโลกที่ซับซ้อน
ความเรียบง่ายโดยสมัครใจ ภาษาอังกฤษ เรียก Voluntary simplicity เป็น ปรัชญาที่สนับสนุนการใช้ชีวิตแบบมินิมัลลิสต์อย่างตั้งใจ โดยให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่มีความหมายมากกว่าทรัพย์สินวัตถุ
หัวใจสำคัญของความเรียบง่ายโดยสมัครใจคือการปรับวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับคุณค่าของตนเอง ลดความเครียดที่ไม่จำเป็น และส่งเสริมสุขอย่างยั่งยืน
ความเรียบง่ายโดยสมัครใจไม่ใช่การขาดแคลน แต่เป็นการเลือกอย่างตั้งใจ
ภาพ Henry David Thoreau จาก >> https://www.americanessence.com/henry-david-thoreau-a-man-who-took-simplicity-to-heart_10408.html
A man who took simplicity to heart
เฮนรี เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ได้กล่าวไว้ว่า “ชีวิตของเราถูกทำให้สูญเปล่าไปกับรายละเอียด... จงทำให้เรียบง่าย ทำให้เรียบง่าย”
ความไม่ซับซ้อน ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น
การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Consumer Psychology (2014) พบว่า บุคคลที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าภายใน เช่น ความสัมพันธ์และการเติบโตส่วนบุคคล มีความพึงพอใจในชีวิตมากกว่าผู้ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความมั่งคั่งทางวัตถุ
การศึกษาในวารสาร Personality and Social Psychology Bulletin (2017) พบว่า ผู้ที่ให้คุณค่าแก่เวลามากกว่าเงินมักจะมีความสุขมากกว่า การทำให้ชีวิตเรียบง่ายสามารถนำไปสู่การมีสติมากขึ้น ลดภาระทางความคิด และปรับปรุงสุขภาพโดยรวม
อย่าง วิธี KonMari โดย มารี คอนโดะ (Marie Kondo) สนับสนุนให้เก็บเฉพาะสิ่งของที่ “จุดประกายความสุข Sparking joy" เท่านั้น จงทิ้งและบอกลาอย่างมีความสุข บ๊ายบาย ของมากมาย ขอบคุณที่อยู่กับเรานะ แต่ฉันจะทำให้ตัวเบาขึ้นแล้ว
โลกวิ่งเร็วเราไม่ต้องไปวิ่งตามมันหรอก เราเดินในจังหวะของเรา จังหวะที่มีความสุข ไม่ต้องไปตามใคร
- อจ สุรัตน์
แรงจูงใจสร้างยากหรือง่ายหละ บางคนบอกง่ายมากเลย เหมือนเอาแครอท ให้กระต่ายกิน มันก็จะวิ่งจนสุดแรง แต่เดี๋ยวก่อน เพราะคนไม่ใช่กระต่าย และยิ่งคนสมัยนี้แล้วด้วย จะเอาวิธีการรุ่นเก่ามาจูงใจคนรุ่นใหม่ มันออกจะ old school ไปหน่อย
แรงจูงใจในแต่ละยุคมันก็ต่างกัน หากเราดู Basic need ของ Maslow แล้วหละตอนนี้ ความปรารถนาในการใช้ชีวิต มันเลยไปไกลกว่า อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่มแล้ว โดยเฉพาะมนุษย์ยุคใหม่ ที่มีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง ในแนวคิดการใช้ชีวิตให้เป็นชีวิต ใช้ชีวิตให้เห็นโลก และการใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง
แล้วอะไรคือสิ่งที่กระตุ้นให้คนสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพกันหละ—เงิน รางวัล หรือสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น? นี่คือสิ่งที่องค์กรต่างๆที่ต้องจูงใจพนักงานในการทำงาน หรือแม้แต่ในสถาบันครอบครัว ที่จะจูงใจลูก ๆ ก็ต้องรู้ สิ่งนี้
ในหนังสือ Drive: The Surprising Truth About What Motivates Us แดเนียล พิงค์ (Daniel Pink) อธิบายลงลึกไปยังก้นบึ้งของแรงจูงใจว่า แรงจูงใจแบบดั้งเดิม เช่น โบนัสหรือการลงโทษ อาจไม่เพียงพอในยุคใหม่ ยุคที่แนวคิดการดำรงค์อยู่แตกต่างจากเดิม ยุคที่มีเศรษฐกิจฐานความรู้ (knowledge-based economy) เป็นพื้นฐานของสังคม โดยปัจจัยที่สร้างแรงจูงใจได้อย่างยั่งยืนจริงๆ มีอยู่สามประการ ได้แก่ อิสรภาพ (Autonomy) การพัฒนา (Mastery) และ เป้าหมายที่มีความหมาย (Purpose) ใช่ วันนี้เรามา explore ในรายละเอียดของแรงจูงใจกันตามกรอบของ 3 สิ่งนี้
อย่างแรกเลยคือ อิสรภาพทางความคิด แม้ว่ามนุษย์เราพร้อมจะทำตามกรอบมายาวนาน แต่ความฝันยังคงเป็นแรงผลักดันอันแรงกล้าและพร้อมโบยบิน ลองย้อนกลับไปดูจิตวิญญาณอันแรงกล้าผ่านวาทกรรมระดับเปลี่ยนแปลงโลกของ Martin Luther King “I have a dream” สิ
งานวิจัยทางจิตวิทยาชี้ให้เห็นว่า อิสรภาพเป็นหนึ่งในความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ทฤษฎี Self-Determination Theory (SDT) โดย Edward Deci และ Richard Ryan อธิบายว่าผู้คนจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อพวกเขารู้สึกว่ามีอำนาจควบคุมสิ่งที่ทำ แทนที่จะถูกบังคับ งานที่เป็นงาน routine แบบ business as ussual กับ business drived from my motivation จึงให้ผลลัพย์ที่แตกต่างกัน
Deci (1971) ยังพบว่าการสร้างแรงจูงใจแบบเดิม ๆ old school ผลักด้วยเงินหรือของแลกเปลี่ยนยิ่งเกิดผลเสีย “เมื่อล่อใจคนด้วยรางวัลภายนอกมากเกินไป พวกเขากลับสูญเสียความสนใจในงานนั้นเสียอีก” นี่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "overjustification effect" ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเงินและรางวัลไม่สามารถกระตุ้นแรงจูงใจได้ในระยะยาว ซ้ำยังทำให้รู้สึกต่อต้านเมื่อจิตใจรู้สึกว่า ส่ิงที่ทำไปนั้น เพื่อผลตอบแทน ไม่ใช่เพื่อจิตวิญญาณตามอิสระภาพทางความคิด
เราลองมาดูวิธีของ บริษัทยักษ์ใหญ่ Google ใช้วิธีในการสร้างอิสระทางความคิดกัน
ในขณะที่การทำงานประจำที่ต้องรักษามาตรฐานอย่างเข้มงวด แต่การสร้างแรงบันดาลใจและการผลักดันผ่านนวัตกรรมเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้ และนี่คือจุดกำเนิดของ 20% Policy
Google อนุญาตให้พนักงานใช้ 20% ของเวลางาน ไปกับโปรเจกต์ที่พวกเขาสนใจ ซึ่งส่งผลให้เกิดนวัตกรรมสำคัญอย่างการกำเนิดของ Gmail และ Google Maps นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าการให้อิสระสามารถกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และผลิตผลที่ยอดเยี่ยมได้ ดู video ของ Nat & Lo กับ 20% project ที่เค้ามาอธิบายกัน
การประยุกต์ใช้สำหรับพวกเรา
ปรับแนวทางจาก การควบคุมอย่างเข้มงวดไปสู่การให้ความไว้วางใจ โดยกำหนดเป้าหมายชัดเจน แต่ให้พนักงานเลือกวิธีการทำงานเอง
ใช้ รูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น เช่น การทำงานจากระยะไกล หรือการกำหนดเวลาเข้างานแบบยืดหยุ่น
ส่งเสริม การเรียนรู้และพัฒนาตนเอง โดยให้พนักงานเลือกแนวทางการเติบโตของตัวเอง
หากดูตามพื้นฐานของทฤษฎีแห่งวิวัฒนาการของ Charles Darwin สิ่งมีชีวิตจะมีแรงขับในการพัฒนาในการเอาตัวรอดและมีชีวิตอยู่ โดยมีการตอบแทนคือรางวัลที่ทำให้เกิดความสุขและพึงพอใจ และการพัฒนาตัวเอง ก็คือหนึ่งในจิตสำนึกในการดำรงค์อยู่
งานวิจัยทางประสาทวิทยา (neuroscience) จากมหาวิทยาลัย Stanford พบว่า เมื่อมนุษย์รับรู้ว่าตนเองกำลังพัฒนาทักษะ สมองจะหลั่งสารโดปามีน (dopamine) ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับความสุขและแรงจูงใจ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมวิดีโอเกมถึงทำให้คนติด—เพราะมันให้เกิด feedback loop ทันทีเมื่อเราพัฒนาความก้าวหน้าขึ้นทีละขั้น นั่นเป็นเหตุให้แรงจูงใจคือ การที่เราพัฒนาให้เก่งขึ้น แม้ว่าจะเหนื่อยยากแต่รางวัลมันก็หอมหวานและชื่นใจ
amazon career choice
Amazon ลงทุนกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ ในโครงการฝึกอบรมพนักงาน โดยมีโครงการ "Career Choice" ที่ช่วยให้พนักงานพัฒนาทักษะในสาขาที่ต้องการ แม้กระทั่งอาชีพที่อยู่นอกบริษัท โดยบริษัทสนับสนุน ค่าเล่าเรียนฟรีล่วงหน้า – สนับสนุนสูงสุดถึง $5,250 ต่อปี ครอบคลุมค่าเทอม หนังสือ และค่าธรรมเนียม ให้ ตารางเวลาที่ยืดหยุ่น – สามารถทำงานไปพร้อมกับการเรียน โค้ชแนะแนวอาชีพ – รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อความสำเร็จ เส้นทางอาชีพที่เป็นที่ต้องการ – เพิ่มโอกาสก้าวหน้าใน Amazon หรือออกไปทำงานสายอื่นได้อย่างมั่นใจ
แม้ว่า การที่ train พนักงานในทักษะใหม่ จะทำให้พนักงาน ได้เปลี่ยนสายงาน แต่ผลประโยชน์นั้นได้แก่ amazon มากกว่า โดยทำให้ พนักงานมีการทุ่มเทในการทำงาน เมื่อบริษัททุ่มเทสิ่งที่มีความหมายให้แก่เขา อีกทั้งพนักงาน ยังได้มีโอกาสพัฒนาทักษะอันหลากหลาย และอาจได้เปลี่ยนงานทำในทักษะที่สูงขึ้นและเป็นประโยชน์แก่บริษัทระยะยาว นอกจากนี้ทาง amazon ยังได้รับการยกย่องถึงการเป็นบริษัทที่น่าทำงานและทำให้ branding ดีในการ recruit คนเก่งเข้ามาทำงานด้วย
นี่คือพนักงานส่วนหนึ่งที่ผ่าน career choice project นี้
ซาร่า – จากพนักงานคลังสินค้าสู่ผู้ช่วยพยาบาล ซาร่าเริ่มต้นที่ Amazon ในตำแหน่งพนักงานคลังสินค้า แต่ด้วยโปรแกรม Career Choice เธอเลือกเรียนหลักสูตรพยาบาล และปัจจุบันได้งานเป็นผู้ช่วยพยาบาลในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ไมค์ – เปลี่ยนเส้นทางสู่วงการ IT ไมค์ทำงานเป็นพนักงานแพ็กของที่ศูนย์กระจายสินค้า แต่ต้องการเข้าสู่สายงานเทคโนโลยี เขาเลือกเรียนหลักสูตรไอทีและได้งานเป็นเจ้าหน้าที่ซัพพอร์ตไอทีหลังจากจบหลักสูตร
อเล็กซ์ – พัฒนาธุรกิจของตัวเอง อเล็กซ์ต้องการเรียนรู้ด้านธุรกิจและการบริหาร เขาใช้ Career Choice ลงทะเบียนเรียนด้านบริหารธุรกิจ และปัจจุบันเขาสามารถเปิดธุรกิจขนาดเล็กของตนเองได้สำเร็จ
มนุษย์เราปรารถนาที่จะพัฒนาตัวเองทั้งนั้น เพียงแต่มีโอกาสหรือไม่ และหากมีโอกาสมีมีความช่วยเหลือ นั่นเป็นสิ่งที่สร้างกำลังใจเป็นอย่างดี
ในการทำงานของบริษัทที่มองกาลไกล นอกจาก การวางวิสัยทัศน์ (vision) เพื่อให้องค์กรมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกันแล้ว statement of purpose หรือ สิ่งที่ตอบคำถามว่า ทำไมธุรกิจของเรายังคงอยู่ นั้นก็มีความสำคัญ เสมือนเป็นสิ่งกระตุ้นความรู้สึกลึก ๆ ของการมีตัวตนและความหมายเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง “ความหมายในการคงอยู่” จึงเป็นแรงขับเคลื่อนของชีวิตนั่นเอง
การศึกษาของ McKinsey & Company (2021) พบว่า พนักงานที่รู้สึกว่างานของตนมีความหมาย มีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมในการทำงานมากกว่าคนทั่วไปถึง 5 เท่า นอกจากนี้ องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายมักมีความได้เปรียบด้านการแข่งขันในระยะยาว
เรามาลองดูบริษัทที่มอบความหมายกับคำว่า ทำไม คุณต้องสิ่งนี้ที่นี่
Patagonia บริษัทขายอุปกรณ์ เส้นผ้าสำหรับ outdoor activities เป็นตัวอย่างของบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมาย ด้วยโครงการ “1% for the planet” พวกเขา บริจาค 1% ของยอดขายเพื่อสนับสนุนสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมให้ลูกค้าซ่อมแซมเสื้อผ้าแทนการซื้อใหม่ พนักงานของ Patagonia จึงรู้สึกภูมิใจในงานที่ทำ และบริษัทก็ได้รับความภักดีจากลูกค้าอย่างสูง
หากเคยได้ยิน คำว่า เราต่างค้นหาความหมาย ก็สามารถใช้คำเหล่านี้ในการสร้างแรงจูงใจเช่นเดียวกัน
สื่อสาร วิสัยทัศน์ขององค์กร ให้ชัดเจนและทำให้พนักงานเห็นว่าตนเองมีบทบาทอย่างไร
ปรับโครงสร้างแรงจูงใจให้ สอดคล้องกับคุณค่าระยะยาว ไม่ใช่แค่ผลกำไรระยะสั้น
ส่งเสริมวัฒนธรรมที่ให้ ความสำคัญกับจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม
หากมองลงไปยังเบื้องลึกของจิตใจ การนำความหมาย สิ่งที่เป็นแรงพลักดันทางธรรมชาติ เพื่อมาเติมเต็มแก่พนักงาน ซึ่งก็คือเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง ไม่เพียงแต่ทำให้บริษัทและองค์กรก้าวหน้าเท่านั้น เราจะได้เห็นการหลอมรวมของชีวิตไปกับกลไกที่ทำให้องค์กรเติบโตได้อย่างเป็นเนื้อเดียวกัน
"Atomic Habits" ทำไมทุกคนถึงพูดถึงหนังสือเล่มนี้?
เห็นชื่อ James Clear = ต้องอ่านแล้ว นะ
สรุป 10 แนวคิดสำคัญที่ช่วยให้สร้างนิสัยดีๆ ได้แบบง่ายๆ
"You do not rise to the level of your goals. You fall to the level of your systems."
คนเราจะไม่ไปถึงเป้าหมายถ้าระบบชีวิตไม่เอื้อ เป้าหมายตั้งไว้สวยแค่ไหน แต่ถ้าชีวิตยังเต็มไปด้วยนิสัยเดิมๆ ก็เท่านั้น
เปลี่ยนชีวิต = เปลี่ยนระบบ ไม่ใช่แค่ตั้งเป้าหมาย
2. ทำไม “วินัย” ถึงไม่เวิร์กเสมอไป?
หลายคนคิดว่าเราต้อง มีวินัย แต่จริงๆ แล้ว คนที่ประสบความสำเร็จ ออกแบบสภาพแวดล้อม ให้ตัวเองไม่ต้องใช้วินัยเยอะๆ
อยากออกกำลังกาย? วางรองเท้าวิ่งให้เห็นทุกวัน อยากอ่านหนังสือ? เอามือถือไปไว้อีกห้อง
3. "Habit stacking" คือการเชื่อมนิสัยใหม่เข้ากับนิสัยเดิม
เช่น "หลังจากตื่นนอน → ฉันจะดื่มน้ำ 1 แก้ว"
"หลังจากแปรงฟัน → ฉันจะวิดพื้น 10 ที"
ใช้สิ่งที่เราทำอยู่แล้วเป็นตัวช่วยสร้างนิสัยใหม่
4. "The 2-minute rule" - เริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุด
อยากเป็นนักอ่าน? เริ่มจากอ่าน 1 หน้า
อยากเป็นคนฟิต? เริ่มจากวิดพื้น 2 ที
ทำให้ง่ายจน "ขี้เกียจก็ทำได้" แล้วนิสัยจะติดตัวเอง
5. นิสัยดีๆ ควร "ชัด-ง่าย-น่าสนใจ"
ชัด: มองเห็นได้ เช่น "เอาชุดออกกำลังกายมาไว้ที่เตียง"
ง่าย: ลดแรงต้าน เช่น "เปิดแอปที่ใช้เรียนภาษาทิ้งไว้เลย"
น่าสนใจ: ทำให้สนุก เช่น "ออกกำลังกายไป ดู Netflix ไป"
6. "Identity-Based Habits" - เปลี่ยนนิสัย = เปลี่ยนตัวตน
อย่าตั้งเป้าว่า "ฉันจะวิ่ง" แต่ให้บอกตัวเองว่า "ฉันเป็นคนที่รักสุขภาพ"
คนที่มองตัวเองเป็น "นักอ่าน" อ่านหนังสือได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องฝืน
7. กฎ "Never miss twice"
พลาด 1 วัน = โอเค
พลาด 2 วันติด = เริ่มกลับมาเถอะ!
ชีวิตจริงไม่ต้องเป๊ะ 100% แค่รักษาความสม่ำเสมอพอ
8. นิสัยแย่ๆ ใช้หลักเดียวกันเป๊ะ!
อยากเลิกโซเชียล? เอามือถือไปไว้อีกห้อง
อยากกินขนมน้อยลง? ไม่ซื้อติดบ้าน
ถ้าอยากเลิกนิสัยไหน ให้ทำให้มัน "ยาก"
9. "The Goldilocks Rule" - ยากพอประมาณ สนุกกว่าเยอะ
ถ้าง่ายไป → เบื่อ
ถ้ายากไป → ท้อ
เลือกความท้าทายที่ "พอดี" เราจะอยากทำต่อ
10. "Success is the product of daily habits, not once-in-a-lifetime transformations."
ความสำเร็จไม่ได้มาจากการเปลี่ยนชีวิตข้ามคืน แต่มาจาก "นิสัยเล็กๆ" ที่ทำทุกวัน
.
สามอย่างที่อยากให้ได้จากโพสต์นี้:
- ปรับนิสัยสำคัญกว่าตั้งเป้าหมาย
- เริ่มจากอะไรที่ง่ายมากๆ
- ทำให้เป็นเรื่องของ "ตัวตน" ไม่ใช่แค่ "สิ่งที่ต้องทำ"
.
ปล. หนังสืออื่นๆ ที่อ่านแล้วโคตรเวิร์ก: The Power of Habit, Deep Work, So Good They Can't Ignore You.
5 มนุษย์พิษ ในที่ทำงาน [หนีปายยยย]
ผลไม้พิษ กินแลัวตาย และในขีวิตจริงคงไม่มีเจ้าชายมาจุมพิตนะ ส่วนมนุษย์พิษ นี่ เจอแล้ว อจากตาย มากกว่า เพราะเจอแล้ว toxic มาดูกัน
1. สายจู้จี้จุกจิก (The Micromanager): หมกมุ่นกับทุกดีเทล ชอบตามติดคุณทุกฝีก้าว คอยตรวจงานทุกจุดจนคุณแทบจะหายใจไม่ออก
2. สายชอบเม้าท์ (The Gossip): รู้เรื่องของทุกคนและมีความสุขกับการกระจายข่าวลือ (บางครั้งก็เป็นเรื่องของคุณซะเอง!)
3. สายหายตัว (The Ghost): โผล่มาแบบผ่านๆ ไม่รับผิดชอบอะไร แถมบางทีดันได้รับเครดิตไปแบบงงๆ
4. สายบ้างาน (The Overachiever): ทำงานหนักเกินไปจนเครียด แบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว แต่ลึกๆ ก็น้อยใจที่ไม่มีใครช่วย
5. สายขัดแข้งขัดขา (The Saboteur): แอบบ่อนทำลายความพยายามของคุณ เพื่อให้ตัวเองดูดีกว่า
💬 เจอคนแบบไหนกันบ้างครับ
- อจ สุรัตน์
"มีความเศร้าบางอย่างที่เกิดขึ้นจากการรู้มากเกินไป จากการเห็นโลกในแบบที่มันเป็นจริง ๆ มันเป็นความเศร้าที่มาจากการเข้าใจว่าชีวิตไม่ใช่การผจญภัยอันยิ่งใหญ่ แต่เป็นเพียงช่วงเวลาที่เล็กน้อยและไม่สำคัญ ว่าความรักไม่ใช่นิทาน แต่เป็นอารมณ์ที่เปราะบางและชั่วคราว ว่าความสุขไม่ใช่สภาวะถาวร แต่เป็นเพียงแวบหนึ่งของสิ่งที่เราจับไว้ไม่ได้ และในความเข้าใจนั้น ก็มีความเหงาลึกซึ้ง ความรู้สึกที่เหมือนถูกตัดขาดจากโลก จากผู้คนอื่น ๆ และจากตัวเอง" —เวอร์จิเนีย วูล์ฟ
หากใครได้อ่านคำกล่าวนี้ คำที่สวยงามราวกับสัมผัสจากก้นลึกของหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์และสิ่งที่ต้องเผชิญ ก็คงสงสัยว่า คนเขียนบรรยายราวกับเป็นแผ่นฟองน้ำที่ซึมซับเอาความจริงที่โหดร้ายของโลกอย่างลึกซึ้งและโดดเดี่ยว และนั่นก็เป็นการเข้าใจไม่ผิดเลย ศิลปิน เวอร์จิเนีย วูล์ฟ เอาใจเข้าเล่นกับอารมณ์ของโลกจนกัดกินตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าและยากเยียวยา
เวอร์จิเนีย วูล์ฟ (Virginia Woolf) เป็นนักเขียนและนักวิจารณ์ชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ผลงานของเธอมีความโดดเด่นในด้านสไตล์การเขียนที่ซับซ้อน ลึกซึ้ง และบรรยายความรู้สึกนึกคิดภายในจิตใจของตัวละคร ซึ่งมักสะท้อนถึงการต่อสู้ทางอารมณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์เป็นอย่างมาก นักอ่านบางคนได้กล่าวไว้ว่า เธอบรรยายได้ราวกับเข้าไปนั่งท่ามกลางหัวใจของอารมณ์ที่อยู่ลึกสุดของใครคนนั้น
เวอร์จิเนียเกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1882 ในครอบครัวที่มีความรู้และมีบทบาทสำคัญในวงการวรรณกรรมแห่งอังกฤษ เธอเป็นบุตรของนักเขียนและนักวิจารณ์อย่าง Sir Leslie Stephen ความสนใจในด้านวรรณกรรมของเธอได้รับการสนับสนุนตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยความสามารถพิเศษในการสังเกตและสะท้อนความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ผ่านบทความและนวนิยายที่เธอเขียน
ผลงานที่มีชื่อเสียงของวูล์ฟ ได้แก่ "Mrs Dalloway," "To the Lighthouse," และ "Orlando," ซึ่งผลงานเหล่านี้เป็นตัวอย่างของนวนิยายที่สะท้อนความคิดที่ลึกซึ้งและตั้งคำถามถึงการดำรงอยู่ ความทรงจำ และการเปลี่ยนแปลงของเวลา
เรื่องราวและผลงานของเธอไม่ได้สะท้อนแค่ความงดงามของการเขียน แต่ยังแฝงไปด้วยปรัชญาชีวิตที่เชื่อมโยงกับความทุกข์ ความเหงา และความหมายของการมีชีวิตอยู่
ผลงานของเวอร์จิเนีย วูล์ฟ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านทั่วโลกได้เรียนรู้และสำรวจความซับซ้อนของชีวิต ความเศร้า และความงามในความเปราะบางของมนุษย์
“การเข้าใจธรรมชาติและความโหดร้ายของมนุษย์ ที่ต่อมาได้กัดกินหัวใจอันแข็งแกร่งของเธอไป” หากเข้าใจซาตาน ต้องเอาหัวใจไว้กับซาตาน
ในช่วงปีสุดท้ายของชีวิต วูล์ฟประสบกับความเครียดและความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สองและการสูญเสียคนใกล้ชิด รวมถึงความยากลำบากในการจัดการกับอาการทางจิตที่เธอประสบมาตลอดชีวิต เธอมีประวัติของการต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและอาการทางจิตอื่น ๆ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง
ก่อนที่จะตัดสินใจฆ่าตัวตาย วูล์ฟได้เขียนจดหมายถึงสามีของเธอ เลโอนาร์ด วูล์ฟ (Leonard Woolf) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสิ้นหวังและความคิดที่ว่าเธอไม่สามารถฟื้นตัวจากความเจ็บป่วยทางจิตได้ ในจดหมายดังกล่าว เธอได้บอกเล่าถึงความรู้สึกของเธอที่ไม่อยากเป็นภาระให้กับคนที่รักอีกต่อไป
วันนั้นแห่งห้วงชีวิต วูล์ฟได้เดินออกจากบ้านในซัสเซ็กซ์ โดยใส่หินลงไปในกระเป๋าของเธอเพื่อช่วยถ่วงน้ำตัวเอง ก่อนที่จะเดินไปยังแม่น้ำโอเซ (River Ouse) และกระโดดลงไปในน้ำ ร่างของเธอถูกพบเมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1941 โดยเจ้าหน้าที่ หลังจากที่หายไปหลายสัปดาห์
เวอร์จิเนีย วูล์ฟ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของนักเขียนที่สร้างสรรค์ผลงานที่ลึกซึ้งในขณะที่เธอต่อสู้กับภาวะซึมเศร้า ความเชื่อมโยงระหว่างความคิดสร้างสรรค์และปัญหาทางสุขภาพจิตเช่นนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรณีของวูล์ฟเท่านั้น นักเขียนและศิลปินจำนวนมาก เช่น เอ็ดการ์ อัลลัน โพ, เอิร์นเนสต์ เฮมิงเวย์ และ วินเซนต์ แวนโก๊ะ ล้วนมีชื่อเสียงในฐานะศิลปินที่ประสบความสำเร็จและต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง
งานวิจัยทางจิตวิทยาและประสาทวิทยาได้ให้ความสนใจอย่างมากในความเชื่อมโยงระหว่างความคิดสร้างสรรค์และสุขภาพจิต โดยเฉพาะภาวะซึมเศร้า งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า ศิลปินและนักเขียนมักมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับโรคซึมเศร้าในระดับที่สูงกว่าประชากรทั่วไป
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าปัจจัยหลายอย่างอาจทำให้ศิลปินมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหานี้มากขึ้น หนึ่งในนั้นคือธรรมชาติของงานสร้างสรรค์ที่ต้องพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ในมุมลึกซึ้งและซับซ้อน การขบคิดในเชิงปรัชญาและความหมายของชีวิตอาจเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความทุกข์และอารมณ์ที่แปรปรวน
งานวิจัยจากสถาบัน Karolinska Institute ในสวีเดนพบว่า ผู้ที่มีอาชีพสร้างสรรค์ เช่น ศิลปิน นักเขียน และนักดนตรี มีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับภาวะซึมเศร้าถึง 25% มากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะในสาขาวรรณกรรมที่ต้องใช้การสะท้อนความคิดภายในตัวเองอย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่สูงขึ้นในการเกิดปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ เช่น โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) และโรควิตกกังวล
นอกจากนี้ สมองของผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงมักมีการทำงานที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจมีความเชื่อมโยงกับความเปราะบางทางจิตใจ
การศึกษาทางประสาทวิทยา (Neuroscience) ชี้ให้เห็นว่าสมองของคนที่มีความคิดสร้างสรรค์มักมีการทำงานในแบบที่แสดงความเชื่อมโยงกับอารมณ์ที่ซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสมอง เช่น ระดับสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และโดปามีน (Dopamine) มักไม่สมดุลในคนที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีภาวะซึมเศร้า
นอกจากนี้ สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลอารมณ์และการคิดเชิงนามธรรม อย่างเช่น "สมองส่วนหน้าซ้าย" (Left Prefrontal Cortex) และ "ระบบลิมบิก" (Limbic System) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดอารมณ์และการตอบสนองต่อความเครียด ซึ่งในศิลปินและนักเขียนที่มักใช้สมองส่วนนี้ในการสร้างสรรค์ผลงาน อาจทำให้พวกเขามีความไวต่ออารมณ์เชิงลบมากกว่าคนทั่วไป
การเข้าใจอารมณ์นักคิด และความเข้าใจโลกของศิลปินที่สอดแทรกตัวเองเข้าไปเข้าใจธรรมชาติ ทำให้เราต้องมาคิดคำนึงถึงการเข้าใจอีกด้านของโลกในแนวพุทธและการปล่อยวาง จึงทำให้หลุดออกจากความจริงที่โหดร้ายกลายเป้นแสงสว่างอีกด้านหนึง
#VirginiaWoolf #ชีวิตและวรรณกรรม #แรงบันดาลใจจากหนังสือ #วรรณกรรมคลาสสิก #ความเศร้าในชีวิต
คุณเคยสละเวลาว่างเพื่อหาเงินเพิ่มหรือไม่? คุณไม่ใช่คนเดียวที่ทำแบบนั้นหลอก เพราะพวกเราถูกหลอกว่าตัวกลางที่มีค่าคือเงิน น่าจะซื้อได้ทุกอย่างรวมทั้งความสุขด้วย แต่การทำเช่นนั้นอาจจะทำให้คุณมีความสุขน้อยลง
งานวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการให้ความสำคัญกับเงินมากกว่ากับเวลา อาจทำให้เรามีความสุขน้อยลงจริงๆ การศึกษาในมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย ซึ่งสำรวจนักศึกษากว่า 1,000 คน พบว่าผู้ที่ให้ความสำคัญกับเวลามากกว่าเงิน รายงานว่ามีความสุขมากขึ้นหนึ่งปีหลังจากสำเร็จการศึกษา เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ให้ความสำคัญกับเงิน ซึ่งผลลัพธ์นี้ยังคงเป็นจริงแม้จะพิจารณาถึงระดับความสุขก่อนสำเร็จการศึกษาและปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกัน
แต่นั่นหมายความว่าคุณควรปฏิเสธการขึ้นเงินเดือนครั้งต่อไปหรือไม่? ไม่จำเป็นเสมอไป แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วความมั่งคั่งจะเกี่ยวข้องกับความสุขที่มากขึ้น แต่สิ่งสำคัญกว่าคือวิธีที่คุณใช้และคิดเกี่ยวกับเงินของคุณ ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาจากสหราชอาณาจักรที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 500 คน พบว่าจำนวนเงินในบัญชีเงินฝากมีผลต่อความสุขมากกว่ารายได้เพียงอย่างเดียว ผู้ที่มีเงินออมอย่างน้อย 500 ดอลลาร์รายงานว่ามีความพึงพอใจในชีวิตสูงกว่าผู้ที่มีเงินออมน้อยกว่า แม้ว่าพวกเขายังคงจ่ายหนี้อยู่ก็ตาม
นอกจากนี้ การใช้เงินกับประสบการณ์แทนการซื้อสิ่งของก็สามารถเพิ่มความสุขได้อย่างมีนัยสำคัญ
การสำรวจผู้ขอกู้ยืมเงินมากกว่า 12,000 คน พบว่ากว่า 80% ของคนที่อายุต่ำกว่า 30 ปี มีความสุขมากขึ้นจากการใช้เงินกับประสบการณ์ เช่น การท่องเที่ยวหรือคอนเสิร์ต มากกว่าการซื้อของใช้ เช่น อุปกรณ์ไฮเทคหรือเสื้อผ้า อีกทั้งยังมีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการใช้เงินเพื่อซื้อเวลา เช่น การใช้บริการที่ช่วยประหยัดเวลา สามารถเพิ่มความพึงพอใจในชีวิตได้ถึง 10% แม้แต่สำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 40,000 ดอลลาร์ต่อปี
การลงทุนเพื่อผู้อื่นยังเป็นวิธีที่ทรงพลังในการเพิ่มความสุขอีกด้วย งานวิจัยกว่าสิบปีแสดงให้เห็นว่าการใช้เงินเพื่อผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการให้ของขวัญ การบริจาค หรือการช่วยเหลือคนอื่น จะทำให้เรารู้สึกมีความสุขมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การทดลองหนึ่งพบว่าผู้คนมีความสุขมากขึ้นเมื่อใช้เงินจำนวนเล็กน้อยเพื่อผู้อื่น แทนที่จะใช้เงินนั้นกับตัวเอง แม้ในเวลาที่พวกเขากำลังพยายามหาเลี้ยงชีพอยู่ก็ตาม
แน่นอนว่าความชอบส่วนตัวก็มีผลเช่นกัน ในการศึกษาหนึ่งพบว่าคนที่ชอบอยู่คนเดียวจะมีความสุขมากขึ้นหลังจากใช้บัตรกำนัลในร้านหนังสือ แทนที่จะเป็นบาร์ ในขณะที่คนที่ชอบเข้าสังคมจะมีความสุขไม่ว่าจะใช้จ่ายที่ไหนก็ตาม นี่เป็นการเน้นย้ำว่าถึงแม้ว่านิสัยการใช้จ่ายบางอย่างจะช่วยเพิ่มความสุขโดยทั่วไป แต่การเลือกใช้เงินของแต่ละคนและบริบทที่เป็นเอกลักษณ์ก็มีความสำคัญ
ดังนั้น ก่อนที่คุณจะตัดสินใจทางการเงินครั้งต่อไป ลองถามตัวเองว่า ค่าใช้จ่ายนี้เพิ่มความสุขให้ฉันจริงๆ หรือไม่?
หากคำตอบคือไม่ อาจถึงเวลาที่ต้องคิดใหม่เกี่ยวกับวิธีที่คุณใช้เงินที่หามาอย่างยากลำบาก จำไว้ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องเงินมากขึ้น—แต่เป็นการใช้จ่ายอย่างชาญฉลาดเพื่อเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีของคุณ
คุณฟังเสียงของตัวคุณไหม ลองเดินตามมันไปสิ
เสียงภายในของเราบางครั้งก็เงียบเสียจนเรามองข้ามไป ไม่กล้าเดินตามมัน เพราะความกลัวและความไม่มั่นใจที่อยู่ในใจเรา แต่เชื่อหรือไม่ว่าหลายคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ต่างก็เริ่มต้นด้วยการฟังและเดินตามเสียงภายในนี้เอง
คนส่วนใหญ่มักพบว่าตัวเองติดอยู่ในวังวนของการล้มเหลว ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีความสามารถหรือขาดโอกาส แต่เพราะพวกเขาไม่กล้าฟังและเดินตามเสียงภายในของตัวเอง ความกลัวที่จะล้มเหลว ความกลัวที่จะไม่เป็นที่ยอมรับ หรือแม้แต่ความกลัวที่จะเปลี่ยนแปลง ทำให้หลายคนยังคงอยู่ในสถานะที่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา
Graham Weaver ผู้ก่อตั้ง Alpine Investors และอาจารย์ที่ Stanford Graduate School of Business ได้แชร์ประสบการณ์ชีวิตของเขาใน Talk ที่ทรงพลัง Weaver เล่าถึงช่วงเวลาที่เขาต้องตัดสินใจอย่างยากลำบากในชีวิตการทำงาน เมื่อเขาเริ่มฟังเสียงภายในของตนเอง และกล้าที่จะออกจากงานที่ไม่เติมเต็ม เพื่อก้าวสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่มีความหมายมากขึ้น
Weaver ได้กล่าวว่า “ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จในชีวิต คุณต้องฟังเสียงที่แท้จริงของตัวเอง” เสียงนี้ไม่ใช่เสียงของความกลัวหรือความสงสัย แต่เป็นเสียงที่มาจากจิตวิญญาณที่แท้จริงของคุณ Weaver แนะนำให้เราฟังเสียงนี้และก้าวไปตามเส้นทางที่มันชี้นำ เพราะนั่นคือเส้นทางที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริง
เขายังได้แบ่งปันหลักการ 3 ข้อที่สำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถบรรลุศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่:
1. ดึงตะปูออกจากหัวของคุณ - หมายถึงการระบุและขจัดอุปสรรคที่ทำให้คุณติดอยู่ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความไม่สบายใจก็ตาม
2. ทำตามพลังงานของคุณ - ค้นหาสิ่งที่ให้พลังงานและทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้น แล้วเดินตามมันไป
3. ทุ่มเทอย่างเต็มที่ - มุ่งมั่นในเส้นทางของคุณโดยไม่มีความลังเล ยอมรับความท้าทายและโอกาสที่มาพร้อมกับมัน
การเดินตามเสียงภายในอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อคุณเริ่มฟังและทุ่มเทให้กับมัน คุณจะพบว่าชีวิตของคุณเต็มไปด้วยพลังและความหมายที่แท้จริง
🚫 หยุดกลัวความคิดเห็นของคนอื่น! 🚫
สิ่งที่ติดไว ไกลข้ามโลกในเสี้ยววินาที ยิ่งกว่า โคโรนาไวรัสตคืออะไร คือความคิดเห็นในโลกอินเตอร์เน็ตยังไง
สิ่งนี้เหมือนสิ่งที่จับต้องไม่ได้แต่ในปัจจุบัน วันที่โลกเสมือนกับโลกจริงเริ่มกลายเนื้อเดียวกัน ความเห็นต่าง ๆ ที่ถาโถมทำให้เรามองตัวเองแบบที่โลกอยากให้เป็น ไม่ใช่อยากเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
โลกนี้ เต็มไปด้วยการจับจ้อง ตัวตนของเราเหมือนอยู่ในโลกสาธารณะเสียแล้ว การแคร์สายตาคนอื่น เกิดจากกรณีศึกษาต่างๆ ที่เมื่อบางคนแสดงออกในตัวตนบางอย่างออกมา ผลลัพย์อาจไม่เป็นที่คาดหวัง
หลายครั้งที่สิ่งที่เราคิดว่าทำถูกต้องแล้วถูกบิดเบือนและนำไปสู่ความเกลียดชังจนเกิดความกลัว นั่นเกิดบ่อยมากในปัจจุบัน โลกที่เราทำอะไรก็เหมือนมีคนจับจ้องจนเกิดภาวะกลัวความคิดเห็นคนอื่น FOPO (Fear of People’s Opinions)
การรับฟังความเห็นของคนรอบ ๆ ตัวเป็นสิ่งที่ดี แต่ในโลกที่มีเสียงสารพัดกรูเข้ามาติติง มาสร้างกลุ่มในการวิพากษ์ นั่นเป็นสิ่งที่อาจทำให้เสียตัวตน และไม่กล้าออกความเห็น
FOPO เป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขัดขวางศักยภาพในตัวเรา Michael Gervais นักจิตวิทยาชื่อดังบอกว่า เรามักเสียเวลาและพลังงานไปกับการกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไง ทำให้สูญเสียความมั่นใจและหมดไฟ และเมื่อความคิดถูกกรอบความคิดเห็นคนอื่นกั้นขวางไว้ จะสำเร็จได้อย่างไร
เอาหละ ก่อนอื่นเราต้องตั้งสติและทำความเข้าใจก่อนว่า โลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ และคำว่าคนอื่น ก็คือ คนอื่น มันไม่ใช่ตัวคุณ การนำความเห็นมาคิด ต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวัง การรู้จักตัวเองและมีจุดหมายในชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ
ให้เรามุ่งเน้นที่ความจริงใจของตัวเอง รู้ความต้องการของตัวเองว่าทำไปเพื่ออะไร ทำให้ตัวเองยอมรับ หรือให้คนอื่นยอมรับกันแน่ และความเห็นประเดี๋ยวประด๋าว มันก็ไม่จีรังเสียด้วย หลาย ๆ ครั้งเราก็จะเห็นว่า ความคิดเห็นที่เป็นความคิดที่ negative ต่อมา กลับกลายเป็นคำบอกกล่าวเชิงบวกออกมาแทน
โลกมันก็หมุนเร็วแบบนี้แหละ ความคิดคนก็เช่นกัน เปลี่ยนได้ตลอดเวลา เราอย่าหมุนไปตามโลกของคนอื่นนักเลย
เดี๋ยวนี้รักษาคนไข้โรคสมอง และมีคนเป็นซึมเศร้ามาด้วย
ยาต้านเศร้าสมัยเก่า กลุ่ม SSRIs ผลข้างเคียงมากพอควร คนไข้ บ่น น้ำหนักขึ้น ง่วงซึม และความรู้สึกทางเพศลด คือ ทานยาแล้ว ทานต่อเนื่องยากเหมือนกัน
พวกยากลุ่มใหม่ เช่น Agonelatine กับ Vortioxetine ที่มีกลไก ใหม่ๆ นี่ดีมากเลย
Agomelatine ไป จัดการนาฬิกาสมอง
คือ คนซึมเศร้า นาฬิกาสมอง รวดเร จะมีอาการผิดปกติการนอน ไม่นอนน้อย ก็ นอนมาก ผิดปกติ หินเยอะจนฉุ ไม่ก็ ไม่อยากอาหารจนซูบ อารมณ์เบื่อหน่าย ชีวิตได้จุดหมาย
การรักษา คือ จัดระเบียบชีวิต จัด นาฬิกาชีวิต biological clock ก็ดีส่วนหนึ่ง นอนตรงเวลา กินตรงเวลา
อีกส่วนใช้ยาจัดการ
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่า melatonin ช่วยซึมเศร้าได้ด้วย แต่อาจใช้ในคน มีปัญหาการนอน แล้วซึมเศร้าดีตาม
- อจ สุรัตน์
”งานที่ทำก็ดีอยู่แล้วนี่ ทนๆไป หัวหน้าแย่แต่ก็ไม่เลว“
“แฟนฉัน ก็เป็นคนแบบนี้ แม้จะขี้เกียจ ไม่ทะเยอทะยานหาความก้าวหน้า แต่ก็ ok เปื่อยๆ ดี”
- เรามันยืนที่เดิมและหาเหตุผลที่จะก้าวออกจากสถานะเดิมเสมอ“
เรามักคุ้นเคยกับสิ่งเดิมๆ รอบตัว จนเกิดความรู้สึกว่า "เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว" ทำให้เราขาดแรงผลักดันในการเปลี่ยนแปลง นี่คืออคติที่เรียกว่า Status Quo Bias หรือ ความลำเอียงที่ยึดติดกับสถานะปัจจุบัน
Status Quo Bias ทำให้เราเกิดความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะดีกว่าสถานการณ์ปัจจุบัน เราจะรู้สึกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนั้นสูงเกินไป แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วอาจจะไม่ใช่เช่นนั้น เราจึงเลือกที่จะอยู่กับสภาพเดิม แม้ว่ามันจะไม่ดีก็ตาม
ทาง psychology เรื่องของ Status Quo bias เป็นเรื่องที่มนุษย์คิดไม่อยากปรับตัว เพื่อหลีกหนีความเสี่ยง
แต่อคตินี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตเราหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจในการทำงาน การลงทุน การสร้างความสัมพันธ์ หรือแม้แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น เราต้องตระหนักถึงอคตินี้ เพื่อให้สามารถมองเห็นโอกาสและทางเลือกใหม่ๆ ที่อาจดีกว่าสภาพปัจจุบัน
การเอาชนะ Status Quo Bias ต้องอาศัยการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นกลาง ความกล้าที่จะเสี่ยง และเหตุผลที่เข้มแข็งในการตัดสินใจ เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกว่า "เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว" ให้หยุดและตั้งคำถามตัวเองว่า นี่เป็นเพียงอคติกำลังครอบงำความคิด หรือเป็นการตัดสินใจที่ผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วจริงๆ บางครั้งการเปลี่ยนแปลงอาจนำพาชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีกว่า