วันหนึ่ง ลูกศิษย์ บอกว่า อจ สอนเขียนบทความ ให้ความรู้คนอื่น ให้หน่อย
"จงสอน สิ่งที่ เราอยากรู้เมื่อเรายังเด็กกว่านี้ ไม่มีความรู้อะไร ช่วยเหลือให้เราดีขึ้น"
Teach younger you. สอนคนอื่น เหมือนสอนตัวเองที่ยังเยาว์วัย ไร้เดียงสา
แค่นี้
- อจ สุรัตน์
วันหนึ่ง ลูกศิษย์ บอกว่า อจ สอนเขียนบทความ ให้ความรู้คนอื่น ให้หน่อย
"จงสอน สิ่งที่ เราอยากรู้เมื่อเรายังเด็กกว่านี้ ไม่มีความรู้อะไร ช่วยเหลือให้เราดีขึ้น"
Teach younger you. สอนคนอื่น เหมือนสอนตัวเองที่ยังเยาว์วัย ไร้เดียงสา
แค่นี้
- อจ สุรัตน์
ในแต่ละวัน เราฟังคนอื่นบ่นมามากแค่ไหน บางคนบอกว่ามาก บางคนบอกว่า ชั้นสิ เป็นคนที่บ่นมากกว่า
มันได้ระบาย ความอัดอั้นตันใจ บ่นแล้วสมองโล่ง ว่างั้น
มีครั้งนึง คนขี้บ่นบอกว่า เมื่อบ่นบางอย่างออกไป สมอง ความคิด ความรู้สึกน่าจะโล่ง ส่วนคนที่รับฟัง จะเบื่อหรือจะตั้งใจฟัง ก็เป็นเรื่องของคนฟัง เหมือนการเขวี้ยงขยะลงในถังขยะ ที่เราก็ไม่ได้สนใจว่า คนจะเอาขยะไปทิ้งที่ไหนต่อ สบายใจดี
แต่การบ่นมันดีต่อใจจริงเหรอ?
ต้องบอกว่า มันเป็นความคิดที่ผิด
“การบ่นเหมือนการระบาย แต่บ่อยครั้งมันยิ่งทำให้เราหงุดหงิดมากขึ้น” ดร.เบิร์นสตีน ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง กล่าว และมีงานวิจัยมากมายที่ยืนยันเรื่องนี้
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cerebral Cortex แสดงให้เห็นว่า **การบ่นซ้ำ ๆ จะกระตุ้นและเสริมสร้างเส้นทางประสาทในสมองที่เกี่ยวข้องกับความคิดเชิงลบ นั่นหมายความว่า ยิ่งเราบ่นมากเท่าไร สมองก็จะยิ่ง "คุ้นชิน" กับรูปแบบความคิดแบบนั้นมากขึ้น เป็นเหมือนการ “ปูทาง” ให้สมองเลือกความคิดในแง่ร้ายได้ง่ายและบ่อยขึ้น
หลักการนี้คล้ายกับการฝึกกล้ามเนื้อ หากเราออกกำลังกายกล้ามเนื้อส่วนใดซ้ำ ๆ กล้ามเนื้อส่วนนั้นก็จะแข็งแรงขึ้น ในทางเดียวกัน **การใช้เส้นทางประสาทบางเส้นทางซ้ำ ๆ จะทำให้มันถูกเสริมสร้างและกลายเป็นอัตโนมัติ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Neuroplasticity หรือ ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงของสมอง
การหมุนวนอยู่กับปัญหาเดิม ๆ แบบไม่หาทางออกหรือไม่ยอมรับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ มันจะกลายเป็น "rumination" หรือ **การครุ่นคิดซ้ำ ๆ ที่เป็นอันตรายทางจิตใจ**
นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า “toxic venting” คือการระบายที่ไม่ได้ทำให้ดีขึ้น แต่กลับตอกย้ำความรู้สึกแย่ เช่น
- ยิ่งพูดยิ่งโกรธ
- ยิ่งเล่า ยิ่งรู้สึกเป็นเหยื่อ
- ยิ่งแชร์ ยิ่งเสพติดการได้รับความเห็นใจ
ดร.เจฟฟรีย์ เบิร์นสตีน นักจิตวิทยาที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปี เสนอวิธีแก้ไขง่าย ๆ แต่ทรงพลัง นั่นคือ การถามตัวเอง (หรือถามลูก) ว่า “เมื่อเทียบกับอะไร?”
น่าสนใจไหม คำถามสั้น ๆ แค่นี้ เปลี่ยนความคิดได้เหรอ
การถามว่า “เมื่อเทียบกับอะไร?” เป็นการกระตุ้นให้เกิด การมองใหม่ (Cognitive Reappraisal) ซึ่งเป็นเทคนิคทางจิตวิทยา ที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าช่วยคุมอารมณ์ได้ เพราะเป็นการบอกว่า มันมีมุมมองเปรียบเทียบ เปิดใจให้กว้าง ความทุกข์เรา มันปะติ๋วนะ
ตัวอย่าง
เด็กชายที่บ่นเรื่องอาหารกลางวัน: เมื่อแม่ถามเขาว่า “เมื่อเทียบกับอะไร?” เด็กชายเริ่มคิด และตอบว่า “ก็มีเด็กบางคนที่ไม่มีอาหารกลางวันกินเลย” แม้เขาจะยังไม่ชอบแซนด์วิชไก่งวง แต่ความรู้สึกขอบคุณที่เกิดขึ้นช่วยลดความหงุดหงิดลงได้
เด็ก ๆ เรียนรู้ผ่านการสังเกตพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory)
“พฤติกรรมของมนุษย์ส่วนใหญ่เรียนรู้ได้จากการสังเกตและเลียนแบบ”
ดังนั้น หากผู้ใหญ่สามารถฝึกตั้งคำถาม “เมื่อเทียบกับอะไร?” แทนการบ่นให้เป็นนิสัย เด็ก ๆ ก็จะซึมซับวิธีคิดที่ยืดหยุ่นและสร้างสรรค์นี้เช่นกัน
ลองดูคำถามกับผู้ใหญ่กัน
ผู้ใหญ่ที่กำลังเผชิญกับความผิดหวังในอาชีพ ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่ความวิตกเรื่องอายุ ก็สามารถใช้เครื่องมือนี้ได้เช่นกัน
เช่น ชายคนหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อถามตัวเองว่า “เมื่อเทียบกับอะไร?” เขาพบว่ากำลังเปรียบเทียบกับเพื่อนที่เลือกเส้นทางชีวิตต่างออกไป ซึ่งไม่ได้ดีกว่าเสมอไป นั่นสิ ความสุขมันก็ไม่ได้วัดจากการที่สูญเสีย ณ.เวลานั้น
เห็นไหม คือ ก็ไม่ได้ ว่าหุบปากห้ามบ่นเลย แต่หากมันบ่น จนเป็นนิสัยขี้บ่น มันยิ่งแย่ต่อสมองและจิตใจ ของคนบ่นเอง
อจ สุรัตน์
การหึงหวง ไม่ใช่เพราะรักเขา แต่เป็นเพราะรักตัวเอง
จริง ๆ แล้ว มันมาจากความกลัวล้วน ๆ
กลัวว่าเขาจะไม่สนใจเราเหมือนเดิม
กลัวว่าเขาจะไปชอบคนอื่นมากกว่า
กลัวว่าเราจะ “ไม่พอ” สำหรับเขา
แล้วก็กลัวว่าความรู้สึกที่ให้ไปจะโดนมองข้าม
หึงเพราะกลัวเสีย ไม่ใช่เพราะหวังดี
หวงเพราะกลัวเขาไปจากเรา ไม่ใช่เพราะอยากให้เขามีความสุข
บางทีเราก็แค่ไม่อยากแพ้ ไม่อยากถูกแทนที่
มันเลยกลายเป็นความรู้สึกที่เหนื่อย ทั้งกับตัวเองแล้วก็คนที่อยู่ข้าง ๆ
แต่ถ้ามองให้ลึกกว่านั้น
ความหึงหวงมันสะท้อน “ความยึดมั่นถือมั่น” ในตัวตนและความเป็นเจ้าของ
เป็นเหมือนกับการยึดคนคนหนึ่งไว้ให้เป็นของเรา ทั้งที่ในความเป็นจริง
ไม่มีใครเป็นของใครได้ตลอดไป
นักปราชญ์หลายคนเคยพูดไว้ว่า
“ความรักที่แท้จริงคือการปล่อยให้เป็นอิสระ ไม่ใช่การกักขังไว้ด้วยความกลัว”
เพราะถ้ารักแล้วต้องหวง ต้องควบคุม ต้องกลัวว่าจะถูกแย่ง
นั่นอาจไม่ใช่ความรัก แต่มันคือความอยากครอบครอง
และเมื่อความรักกลายเป็นกรง ความสุขก็จะบินหนีไปเสมอ
สุดท้ายแล้ว…
การปล่อยให้เขาได้เลือกทางของตัวเอง โดยที่เรายังยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง
นั่นแหละ คือรักที่โตพอ และรักตัวเองเป็นจริง ๆ
ลูกฉันเป็นคนดี
เพราะยังไงก็ยังเป็นคน คนนั้น ฝังด้วยความเห็นแก่ตัว พ่อแม่สอนแต่ความรักในครอบครัว แต่ไม่ได้สอนให้การเผื่อแผ่ความรักและการลดละความรักตัวเองจนเดือดร้อนคนอื่น
น่าเสียดาย เพราะคนที่จากไป เค้าก็รักชีวิตตัวเองเหมือนกัน
- อจ สุรัตน์
"Atomic Habits" ทำไมทุกคนถึงพูดถึงหนังสือเล่มนี้?
เห็นชื่อ James Clear = ต้องอ่านแล้ว นะ
สรุป 10 แนวคิดสำคัญที่ช่วยให้สร้างนิสัยดีๆ ได้แบบง่ายๆ
"You do not rise to the level of your goals. You fall to the level of your systems."
คนเราจะไม่ไปถึงเป้าหมายถ้าระบบชีวิตไม่เอื้อ เป้าหมายตั้งไว้สวยแค่ไหน แต่ถ้าชีวิตยังเต็มไปด้วยนิสัยเดิมๆ ก็เท่านั้น
เปลี่ยนชีวิต = เปลี่ยนระบบ ไม่ใช่แค่ตั้งเป้าหมาย
2. ทำไม “วินัย” ถึงไม่เวิร์กเสมอไป?
หลายคนคิดว่าเราต้อง มีวินัย แต่จริงๆ แล้ว คนที่ประสบความสำเร็จ ออกแบบสภาพแวดล้อม ให้ตัวเองไม่ต้องใช้วินัยเยอะๆ
อยากออกกำลังกาย? วางรองเท้าวิ่งให้เห็นทุกวัน อยากอ่านหนังสือ? เอามือถือไปไว้อีกห้อง
3. "Habit stacking" คือการเชื่อมนิสัยใหม่เข้ากับนิสัยเดิม
เช่น "หลังจากตื่นนอน → ฉันจะดื่มน้ำ 1 แก้ว"
"หลังจากแปรงฟัน → ฉันจะวิดพื้น 10 ที"
ใช้สิ่งที่เราทำอยู่แล้วเป็นตัวช่วยสร้างนิสัยใหม่
4. "The 2-minute rule" - เริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุด
อยากเป็นนักอ่าน? เริ่มจากอ่าน 1 หน้า
อยากเป็นคนฟิต? เริ่มจากวิดพื้น 2 ที
ทำให้ง่ายจน "ขี้เกียจก็ทำได้" แล้วนิสัยจะติดตัวเอง
5. นิสัยดีๆ ควร "ชัด-ง่าย-น่าสนใจ"
ชัด: มองเห็นได้ เช่น "เอาชุดออกกำลังกายมาไว้ที่เตียง"
ง่าย: ลดแรงต้าน เช่น "เปิดแอปที่ใช้เรียนภาษาทิ้งไว้เลย"
น่าสนใจ: ทำให้สนุก เช่น "ออกกำลังกายไป ดู Netflix ไป"
6. "Identity-Based Habits" - เปลี่ยนนิสัย = เปลี่ยนตัวตน
อย่าตั้งเป้าว่า "ฉันจะวิ่ง" แต่ให้บอกตัวเองว่า "ฉันเป็นคนที่รักสุขภาพ"
คนที่มองตัวเองเป็น "นักอ่าน" อ่านหนังสือได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องฝืน
7. กฎ "Never miss twice"
พลาด 1 วัน = โอเค
พลาด 2 วันติด = เริ่มกลับมาเถอะ!
ชีวิตจริงไม่ต้องเป๊ะ 100% แค่รักษาความสม่ำเสมอพอ
8. นิสัยแย่ๆ ใช้หลักเดียวกันเป๊ะ!
อยากเลิกโซเชียล? เอามือถือไปไว้อีกห้อง
อยากกินขนมน้อยลง? ไม่ซื้อติดบ้าน
ถ้าอยากเลิกนิสัยไหน ให้ทำให้มัน "ยาก"
9. "The Goldilocks Rule" - ยากพอประมาณ สนุกกว่าเยอะ
ถ้าง่ายไป → เบื่อ
ถ้ายากไป → ท้อ
เลือกความท้าทายที่ "พอดี" เราจะอยากทำต่อ
10. "Success is the product of daily habits, not once-in-a-lifetime transformations."
ความสำเร็จไม่ได้มาจากการเปลี่ยนชีวิตข้ามคืน แต่มาจาก "นิสัยเล็กๆ" ที่ทำทุกวัน
.
สามอย่างที่อยากให้ได้จากโพสต์นี้:
- ปรับนิสัยสำคัญกว่าตั้งเป้าหมาย
- เริ่มจากอะไรที่ง่ายมากๆ
- ทำให้เป็นเรื่องของ "ตัวตน" ไม่ใช่แค่ "สิ่งที่ต้องทำ"
.
ปล. หนังสืออื่นๆ ที่อ่านแล้วโคตรเวิร์ก: The Power of Habit, Deep Work, So Good They Can't Ignore You.
5 มนุษย์พิษ ในที่ทำงาน [หนีปายยยย]
ผลไม้พิษ กินแลัวตาย และในขีวิตจริงคงไม่มีเจ้าชายมาจุมพิตนะ ส่วนมนุษย์พิษ นี่ เจอแล้ว อจากตาย มากกว่า เพราะเจอแล้ว toxic มาดูกัน
1. สายจู้จี้จุกจิก (The Micromanager): หมกมุ่นกับทุกดีเทล ชอบตามติดคุณทุกฝีก้าว คอยตรวจงานทุกจุดจนคุณแทบจะหายใจไม่ออก
2. สายชอบเม้าท์ (The Gossip): รู้เรื่องของทุกคนและมีความสุขกับการกระจายข่าวลือ (บางครั้งก็เป็นเรื่องของคุณซะเอง!)
3. สายหายตัว (The Ghost): โผล่มาแบบผ่านๆ ไม่รับผิดชอบอะไร แถมบางทีดันได้รับเครดิตไปแบบงงๆ
4. สายบ้างาน (The Overachiever): ทำงานหนักเกินไปจนเครียด แบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว แต่ลึกๆ ก็น้อยใจที่ไม่มีใครช่วย
5. สายขัดแข้งขัดขา (The Saboteur): แอบบ่อนทำลายความพยายามของคุณ เพื่อให้ตัวเองดูดีกว่า
💬 เจอคนแบบไหนกันบ้างครับ
- อจ สุรัตน์
“คนที่เป็นที่รู้จักดีที่สุด ชนะคนที่ดีที่สุด” เพราะการเป็นที่รู้จักสำคัญกว่าความสมบูรณ์แบบ
ลองนึกภาพดูว่า คุณอบคุกกี้ที่อร่อยที่สุดในโลก คุกกี้ของคุณอร่อยจนไม่มีใครเทียบได้ แต่คุณเก็บมันไว้ในครัว ไม่ได้บอกใครเลยว่าคุณมีคุกกี้ที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ คุณคิดว่าคนอื่นจะรู้จักคุณจากคุกกี้ไหม? คำตอบคือ ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะคนไม่สามารถรักหรือชื่นชมสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อน
นี่คือความหมายของคำว่า “คนที่เป็นที่รู้จักที่สุด ชนะคนที่ดีที่สุด” มันหมายความว่า แม้ว่าคุณจะเก่งที่สุดหรือมีสิ่งที่ดีที่สุดในโลก แต่มันจะไม่มีค่าอะไรเลยถ้าคนไม่รู้จักคุณ
ความคุ้นเคยสร้างความไว้วางใจ
ลองคิดถึงแบรนด์เครื่องดื่ม Coca-Cola ดูสิ มันเป็นเครื่องดื่มที่อร่อยหรือดีต่อสุขภาพที่สุดในโลกไหม? อาจจะไม่ใช่ แต่ทำไมคนถึงชอบและเชื่อใจมัน? เพราะมันอยู่ทุกที่ ทั้งในทีวี ร้านค้า และงานใหญ่ๆ คนคุ้นเคยกับมันจนรู้สึกวางใจ
เหมือนกับคำพูดที่ว่า “ถ้าคุณไม่ปรากฏตัวในสายตา คนก็จะลืมคุณไป”
คุณต้องเล่าเรื่องของตัวเอง
แม้แต่ไอเดียที่ดีที่สุดในโลกก็ต้องมีการสื่อสารออกไป ลองดู Walt Disney สิ เขาไม่ได้แค่สร้างตัวการ์ตูนมิกกี้เมาส์แล้วหวังว่าคนจะสังเกตเห็น เขาทำงานหนักเพื่อเล่าเรื่องราวให้คนตกหลุมรักตัวละครของเขา และตอนนี้ Disney ก็กลายเป็นแบรนด์ที่โด่งดังไปทั่วโลก
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยพูดว่า “ความคิดสร้างสรรค์คือความฉลาดที่สนุกกับตัวเอง” แต่แม้แต่ไอน์สไตน์เองก็ต้องเผยแพร่ไอเดียของเขาผ่านหนังสือและการบรรยายให้โลกได้เข้าใจ
อยู่ในที่ที่คนมองหา
ถ้าคุณอยากให้คนสังเกตเห็น คุณต้องไปอยู่ในที่ที่เขาอยู่ ลองนึกถึงยูทูบเบอร์คนโปรดของคุณ ถ้าพวกเขาโพสต์วิดีโอแค่ปีละครั้ง คุณจะยังติดตามเขาอยู่ไหม? อาจจะไม่ใช่ เพราะความสม่ำเสมอทำให้คนไม่ลืม
แบรนด์อย่าง Apple และ Nike เข้าใจเรื่องนี้ พวกเขาแปะโลโก้และข้อความไว้ทุกที่ ทั้งในร้านค้า โซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่งานกีฬาใหญ่ๆ นั่นคือวิธีที่พวกเขาทำให้คุณนึกถึงพวกเขาเป็นอันดับแรกเวลาคุณอยากได้โทรศัพท์หรือรองเท้า
ความสม่ำเสมอคือหัวใจสำคัญ
การปรากฏตัวแค่ครั้งเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้คนจดจำคุณได้ คุณต้องปรากฏตัวซ้ำๆ และต่อเนื่อง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมสโลแกนของ Nike อย่าง “Just Do It” ถึงยังคงเป็นที่รู้จักมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะพวกเขาเตือนคนเสมอว่าพวกเขาคือใครและยืนหยัดเพื่ออะไร
นักเขียนชื่อดัง Dr. Seuss เคยพูดว่า “บางครั้งคำถามก็ดูซับซ้อน แต่คำตอบนั้นเรียบง่าย” และคำตอบง่ายๆ ที่นี่ก็คือ ทำต่อไป ปรากฏตัวให้เห็น และอย่ายอมแพ้
ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จ แค่เก่งหรือมีสิ่งที่ดีที่สุดไม่พอ คุณต้องทำให้คนรู้จักคุณด้วย สร้างแบรนด์ของตัวเอง เล่าเรื่องราว และทำให้ตัวเองปรากฏตัวอยู่เสมอ
อย่างที่ Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple เคยพูดว่า “นวัตกรรมคือสิ่งที่แยกผู้นำออกจากผู้ตาม” แต่แม้แต่เขาก็รู้ว่า นวัตกรรมจะมีค่าได้ก็ต่อเมื่อคนมองเห็นมัน
คนเรารู้วันเกิด ไม่รู้วันตาย
เราใช้ชีวิตเหมือนเวลาไม่มีวันหมด
เราหายใจโดยไม่รู้ว่านี่คือสัญญาณของการมีชีวิตอยู่
ทุกขณะที่เราคิด ทุกขณะที่เราทำ มันเปลี่ยนแปลงเราเป็นคนใหม่เสมอ
เราต่างเดินอยู่บนเส้นด้ายที่เปราะบางของชีวิต
ทุกนาที มีคนจากโลกนี้ไป และ เราก็กำลังขยับต่อแถวไปเรื่อย ๆ
ไม่รู้ว่า เราจะก้าวข้ามเส้นนั้นก่อนหรือหลังใคร แต่ที่แน่ ๆ มีคนไป ก่อนเรา และ ไปหลังเรา อย่างไม่รู้ตัว
มีสติและทำทุกวัน ทุกขณะจิตให้ดีที่สุด
จะทำอะไร คิดให้ดี เพราะชีวิตเป็นของเรา
- อจ สุรัตน์
"มีความเศร้าบางอย่างที่เกิดขึ้นจากการรู้มากเกินไป จากการเห็นโลกในแบบที่มันเป็นจริง ๆ มันเป็นความเศร้าที่มาจากการเข้าใจว่าชีวิตไม่ใช่การผจญภัยอันยิ่งใหญ่ แต่เป็นเพียงช่วงเวลาที่เล็กน้อยและไม่สำคัญ ว่าความรักไม่ใช่นิทาน แต่เป็นอารมณ์ที่เปราะบางและชั่วคราว ว่าความสุขไม่ใช่สภาวะถาวร แต่เป็นเพียงแวบหนึ่งของสิ่งที่เราจับไว้ไม่ได้ และในความเข้าใจนั้น ก็มีความเหงาลึกซึ้ง ความรู้สึกที่เหมือนถูกตัดขาดจากโลก จากผู้คนอื่น ๆ และจากตัวเอง" —เวอร์จิเนีย วูล์ฟ
หากใครได้อ่านคำกล่าวนี้ คำที่สวยงามราวกับสัมผัสจากก้นลึกของหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์และสิ่งที่ต้องเผชิญ ก็คงสงสัยว่า คนเขียนบรรยายราวกับเป็นแผ่นฟองน้ำที่ซึมซับเอาความจริงที่โหดร้ายของโลกอย่างลึกซึ้งและโดดเดี่ยว และนั่นก็เป็นการเข้าใจไม่ผิดเลย ศิลปิน เวอร์จิเนีย วูล์ฟ เอาใจเข้าเล่นกับอารมณ์ของโลกจนกัดกินตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าและยากเยียวยา
เวอร์จิเนีย วูล์ฟ (Virginia Woolf) เป็นนักเขียนและนักวิจารณ์ชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ผลงานของเธอมีความโดดเด่นในด้านสไตล์การเขียนที่ซับซ้อน ลึกซึ้ง และบรรยายความรู้สึกนึกคิดภายในจิตใจของตัวละคร ซึ่งมักสะท้อนถึงการต่อสู้ทางอารมณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์เป็นอย่างมาก นักอ่านบางคนได้กล่าวไว้ว่า เธอบรรยายได้ราวกับเข้าไปนั่งท่ามกลางหัวใจของอารมณ์ที่อยู่ลึกสุดของใครคนนั้น
เวอร์จิเนียเกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1882 ในครอบครัวที่มีความรู้และมีบทบาทสำคัญในวงการวรรณกรรมแห่งอังกฤษ เธอเป็นบุตรของนักเขียนและนักวิจารณ์อย่าง Sir Leslie Stephen ความสนใจในด้านวรรณกรรมของเธอได้รับการสนับสนุนตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยความสามารถพิเศษในการสังเกตและสะท้อนความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ผ่านบทความและนวนิยายที่เธอเขียน
ผลงานที่มีชื่อเสียงของวูล์ฟ ได้แก่ "Mrs Dalloway," "To the Lighthouse," และ "Orlando," ซึ่งผลงานเหล่านี้เป็นตัวอย่างของนวนิยายที่สะท้อนความคิดที่ลึกซึ้งและตั้งคำถามถึงการดำรงอยู่ ความทรงจำ และการเปลี่ยนแปลงของเวลา
เรื่องราวและผลงานของเธอไม่ได้สะท้อนแค่ความงดงามของการเขียน แต่ยังแฝงไปด้วยปรัชญาชีวิตที่เชื่อมโยงกับความทุกข์ ความเหงา และความหมายของการมีชีวิตอยู่
ผลงานของเวอร์จิเนีย วูล์ฟ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านทั่วโลกได้เรียนรู้และสำรวจความซับซ้อนของชีวิต ความเศร้า และความงามในความเปราะบางของมนุษย์
“การเข้าใจธรรมชาติและความโหดร้ายของมนุษย์ ที่ต่อมาได้กัดกินหัวใจอันแข็งแกร่งของเธอไป” หากเข้าใจซาตาน ต้องเอาหัวใจไว้กับซาตาน
ในช่วงปีสุดท้ายของชีวิต วูล์ฟประสบกับความเครียดและความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สองและการสูญเสียคนใกล้ชิด รวมถึงความยากลำบากในการจัดการกับอาการทางจิตที่เธอประสบมาตลอดชีวิต เธอมีประวัติของการต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและอาการทางจิตอื่น ๆ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง
ก่อนที่จะตัดสินใจฆ่าตัวตาย วูล์ฟได้เขียนจดหมายถึงสามีของเธอ เลโอนาร์ด วูล์ฟ (Leonard Woolf) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสิ้นหวังและความคิดที่ว่าเธอไม่สามารถฟื้นตัวจากความเจ็บป่วยทางจิตได้ ในจดหมายดังกล่าว เธอได้บอกเล่าถึงความรู้สึกของเธอที่ไม่อยากเป็นภาระให้กับคนที่รักอีกต่อไป
วันนั้นแห่งห้วงชีวิต วูล์ฟได้เดินออกจากบ้านในซัสเซ็กซ์ โดยใส่หินลงไปในกระเป๋าของเธอเพื่อช่วยถ่วงน้ำตัวเอง ก่อนที่จะเดินไปยังแม่น้ำโอเซ (River Ouse) และกระโดดลงไปในน้ำ ร่างของเธอถูกพบเมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1941 โดยเจ้าหน้าที่ หลังจากที่หายไปหลายสัปดาห์
เวอร์จิเนีย วูล์ฟ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของนักเขียนที่สร้างสรรค์ผลงานที่ลึกซึ้งในขณะที่เธอต่อสู้กับภาวะซึมเศร้า ความเชื่อมโยงระหว่างความคิดสร้างสรรค์และปัญหาทางสุขภาพจิตเช่นนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรณีของวูล์ฟเท่านั้น นักเขียนและศิลปินจำนวนมาก เช่น เอ็ดการ์ อัลลัน โพ, เอิร์นเนสต์ เฮมิงเวย์ และ วินเซนต์ แวนโก๊ะ ล้วนมีชื่อเสียงในฐานะศิลปินที่ประสบความสำเร็จและต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง
งานวิจัยทางจิตวิทยาและประสาทวิทยาได้ให้ความสนใจอย่างมากในความเชื่อมโยงระหว่างความคิดสร้างสรรค์และสุขภาพจิต โดยเฉพาะภาวะซึมเศร้า งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า ศิลปินและนักเขียนมักมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับโรคซึมเศร้าในระดับที่สูงกว่าประชากรทั่วไป
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าปัจจัยหลายอย่างอาจทำให้ศิลปินมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหานี้มากขึ้น หนึ่งในนั้นคือธรรมชาติของงานสร้างสรรค์ที่ต้องพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ในมุมลึกซึ้งและซับซ้อน การขบคิดในเชิงปรัชญาและความหมายของชีวิตอาจเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความทุกข์และอารมณ์ที่แปรปรวน
งานวิจัยจากสถาบัน Karolinska Institute ในสวีเดนพบว่า ผู้ที่มีอาชีพสร้างสรรค์ เช่น ศิลปิน นักเขียน และนักดนตรี มีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับภาวะซึมเศร้าถึง 25% มากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะในสาขาวรรณกรรมที่ต้องใช้การสะท้อนความคิดภายในตัวเองอย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่สูงขึ้นในการเกิดปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ เช่น โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) และโรควิตกกังวล
นอกจากนี้ สมองของผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงมักมีการทำงานที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจมีความเชื่อมโยงกับความเปราะบางทางจิตใจ
การศึกษาทางประสาทวิทยา (Neuroscience) ชี้ให้เห็นว่าสมองของคนที่มีความคิดสร้างสรรค์มักมีการทำงานในแบบที่แสดงความเชื่อมโยงกับอารมณ์ที่ซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสมอง เช่น ระดับสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และโดปามีน (Dopamine) มักไม่สมดุลในคนที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีภาวะซึมเศร้า
นอกจากนี้ สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลอารมณ์และการคิดเชิงนามธรรม อย่างเช่น "สมองส่วนหน้าซ้าย" (Left Prefrontal Cortex) และ "ระบบลิมบิก" (Limbic System) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดอารมณ์และการตอบสนองต่อความเครียด ซึ่งในศิลปินและนักเขียนที่มักใช้สมองส่วนนี้ในการสร้างสรรค์ผลงาน อาจทำให้พวกเขามีความไวต่ออารมณ์เชิงลบมากกว่าคนทั่วไป
การเข้าใจอารมณ์นักคิด และความเข้าใจโลกของศิลปินที่สอดแทรกตัวเองเข้าไปเข้าใจธรรมชาติ ทำให้เราต้องมาคิดคำนึงถึงการเข้าใจอีกด้านของโลกในแนวพุทธและการปล่อยวาง จึงทำให้หลุดออกจากความจริงที่โหดร้ายกลายเป้นแสงสว่างอีกด้านหนึง
#VirginiaWoolf #ชีวิตและวรรณกรรม #แรงบันดาลใจจากหนังสือ #วรรณกรรมคลาสสิก #ความเศร้าในชีวิต
คนประสบความสำเร็จในการยืนบนหน้าแข้งตัวเองบนยอดเขาแห่งการแข่งขันทางธุรกิจ ได้ประกาศสอนน้อง ๆ ว่า ความอิสระ คือความสุขอย่างแท้จริง และหนทางนั้น คือการเป็นผู้ประกอบการ ผู้กุมบังเหียนและโชคชะตาของตัวเอง
การเป็นผู้ประกอบการเปิดโอกาสให้คุณมีอิสระอย่างมาก เราต่างเห็นกันเพราะได้กำหนดชะตาและเวลาของตัวเอง แต่ความสำเร็จนั้น ยังมีเงาดำและบาดแผลตามรายทางที่เหมือนโซ่ตรวน ที่ไม่มีใครบอกคุณอยู่ เสมือนกับผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้วปิดปากเงียบ ๆ เอาไว้ และมีเพียงสายตาที่บ่งบอกเป็นนัยว่า อยากเป็นอิสระและประสบความสำเร็จเหรอ ก้าวเข้ามาสิ เดี๋ยวก็รู้เอง
เป็นผู้ประกอบการมีความท้าทายใหม่ๆ เสมอ ที่คุณอาจไม่เคยเจอมาก่อน หนึ่งในคำถามที่พบได้บ่อยคือ อะไรที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ ?
แม้ว่าสูตรสำเร็จ ของการประสบความสำเร็จเป็นสิ่งที่ไม่ตายตัว แต่ หนึ่งในเคล็ดลับคือ การเรียนรู้วิธีกรองเสียงรบกวนและมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่สำคัญจริงๆ และการเข้าใจว่า สิ่งนี้ไม่สำคัญและคือเสียงรบกวน มันสำคัญพอ ๆ กับคุณรู้ว่าสิ่งไหนที่สำคัญ
ในช่วงแรกๆ คุณอาจต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น การมอบหมายงานและการเรียนรู้ที่จะปล่อยวางกลายเป็นสิ่งสำคัญ ความสามารถในการมองเห็นภาพรวมโดยไม่หลงในรายละเอียดเล็กน้อย คือสิ่งที่แยกผู้ประกอบการที่ดีออกจากผู้ประกอบการที่ยอดเยี่ยม หากคุณอยากเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ การพัฒนาทักษะการเลือกให้ความสนใจเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเป็นเรื่องที่คุณต้องฝึกฝน
ในฐานะผู้ประกอบการ ความสนใจของคุณมักถูกดึงไปในทิศทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการวางกลยุทธ์ วิสัยทัศน์ การเงิน ความสัมพันธ์กับลูกค้า ฯลฯ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะตกอยู่ในโหมดการทำงานและพยายามแก้ปัญหาในทุกๆ ด้าน แต่ความสามารถในการกรองเสียงรบกวนและมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่สำคัญจริงๆ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความสำเร็จ
ในการประสบความสำเร็จ คุณต้องเรียนรู้ทักษะการเลือกให้ความสนใจเฉพาะสิ่งที่จำเป็น ซึ่งหมายถึงการตัดสิ่งที่ไม่สำคัญออกไปและเน้นเฉพาะเรื่องที่มีความสำคัญสูง นี่คือตัวช่วยที่อาจทำให้คุณเก่งขึ้นในด้านนี้:
กำหนดลำดับความสำคัญ: รู้ว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ และเน้นที่สิ่งเหล่านั้นก่อนจะไปถึงเรื่องอื่นๆ การทำรายการอาจช่วยให้คุณจำเป้าหมายของตัวเองได้ดีขึ้น
จำกัดการขัดจังหวะ: ลดการแจ้งเตือนในอุปกรณ์ของคุณและพยายามหลีกเลี่ยงการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ทำทีละอย่างและอย่าเปลี่ยนความสนใจเว้นแต่จะจำเป็นจริงๆ
เริ่มต้นวันด้วยความมุ่งมั่น: วิธีที่คุณเริ่มต้นวันจะกำหนดทิศทางของวันนั้นๆ เริ่มจากการทำงานที่สำคัญที่ต้องใช้ความสนใจมากก่อนที่จะทำงานที่ไม่สำคัญอื่นๆ
พักบ้าง: การจดจ่ออย่างหนักไม่สามารถทำได้ตลอดเวลา การพักผ่อนสั้นๆ เป็นสิ่งจำเป็นในการเติมพลังและรักษาพลังงานทางจิตใจ
เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ: ไม่จำเป็นต้องตอบรับทุกปัญหาหรือโอกาสที่เข้ามา ให้เรียนรู้ที่จะปฏิเสธสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับลำดับความสำคัญของคุณ จำไว้ว่า คุณสามารถทำงานของพวกเขาได้ แต่พวกเขาไม่สามารถทำงานของคุณได้ การปล่อยให้พวกเขาเผชิญความท้าทายของตนเองก็เป็นสิ่งที่ดี
การฝึกฝนและเสริมสร้างทักษะในการกรองสิ่งที่ไม่สำคัญและมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่สำคัญจะทำให้การจดจ่อกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ความก้าวหน้าจะเกิดขึ้นเมื่อคุณคงความมุ่งมั่นในสิ่งที่มีความสำคัญจริงๆ
ในฐานะผู้ประกอบการ การเลือกให้ความสนใจเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเป็นเรื่องที่สำคัญ คุณไม่สามารถทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ดังนั้นการเลือกว่าสิ่งใดที่สำคัญจริงๆ จึงเป็นกุญแจสำคัญ
ในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจ คุณอาจรู้สึกว่าต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น การจัดลำดับความสำคัญกลายเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้น เรียนรู้ที่จะมอบหมายงานและปล่อยวางงานที่สำคัญน้อยกว่า การพูดว่า "ไม่" บ่อยขึ้นจะช่วยให้คุณสามารถมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่ขับเคลื่อนธุรกิจของคุณได้จริงๆ
ลองใช้เครื่องมืออย่าง Eisenhower Matrix เพื่อช่วยในการตัดสินใจในแต่ละวันและมอบหมายงาน มันเป็นแนวทางที่ใช้งานได้จริงที่จะช่วยให้คุณระบุได้ว่างานใดควรให้ผู้อื่นทำ และงานใดควรละทิ้ง
การลดภาระและการขจัดสิ่งรบกวนทางจิตใจอาจเป็นเรื่องยาก แต่ก็เป็นการเพิ่มพลังให้ตัวเอง เริ่มจากการระบุว่าสิ่งใดที่มีเพียงคุณเท่านั้นที่ทำได้—ความสามารถและจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณ มุ่งเน้นไปที่งานที่สนับสนุนลำดับความสำคัญหลัก และมอบหมายหรือละทิ้งงานที่เหลือ
ด้วยการฝึกฝน การเลือกให้ความสนใจเฉพาะสิ่งที่จำเป็นจะกลายเป็นนิสัย คุณจะเก่งขึ้นในการประเมินสิ่งที่สำคัญอย่างรวดเร็ว และปลดปล่อยตัวเองจากสิ่งที่ทำให้เสียเวลาและงานที่ไม่สำคัญ เวลาของคุณและพลังงานของคุณจะถูกมุ่งเน้นไปที่ลำดับความสำคัญหลักที่ขับเคลื่อนวิสัยทัศน์และธุรกิจของคุณไปสู่ระดับถัดไป
การพูดว่า "ไม่" เป็นนิสัยที่ในระยะยาวจะให้ผลดีแน่นอน โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการ ฝึกฝนให้ชิน แล้วคุณจะพบกับอิสระและความชัดเจนใหม่ๆ ที่จะช่วยให้คุณไล่ตามโอกาสที่ทำให้คุณตื่นเต้นจริงๆ ธุรกิจของคุณจะขอบคุณคุณสำหรับสิ่งนี้
เมื่อธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น มันง่ายที่จะหลงอยู่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของการดำเนินงานประจำวัน อย่างไรก็ตาม การรักษามุมมองภาพรวมระดับสูงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการทุกคน การให้ความสนใจเฉพาะสิ่งที่จำเป็นช่วยให้คุณสามารถมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่สำคัญจริงๆ และทำให้ธุรกิจของคุณเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ถูกต้อง
คุณไม่สามารถทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้อีกต่อไป เรียนรู้ที่จะมอบหมายความรับผิดชอบให้กับพนักงานหรือผู้รับเหมาที่คุณไว้วางใจ สิ่งนี้จะช่วยให้คุณมีเวลาในการมุ่งเน้นไปที่พื้นที่ที่มีผลกระทบสูง เช่น กลยุทธ์ การสร้างพันธมิตร และโอกาสใหม่ๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้อื่นได้เติบโตและยกระดับตนเองขึ้นไปอีกขั้น
ในขณะที่คนอื่นๆ ดูแลการดำเนินงานประจำวัน คุณจำเป็นต้องติดตามตัวชี้วัดผลการดำเนินงานที่สำคัญ (KPIs) ที่ขับเคลื่อนธุรกิจของคุณ ตรวจสอบรายงานเกี่ยวกับตัวชี้วัดเหล่านี้เป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส มองหาความเคลื่อนไหวเพื่อระบุว่าสิ่งใดที่ได้ผล สิ่งใดที่ต้องปรับปรุง และที่ใดที่คุณควรมุ่งเน้นความพยายามของคุณ
แม้ว่าการเป็นผู้นำจะหมายถึงการแก้ปัญหาและจัดการกับปัญหาต่างๆ มากมาย แต่คุณก็ยังต้องหาเวลาสำหรับการคิดเชิงกลยุทธ์ด้วย ลองกันเวลาสองสามชั่วโมงต่อสัปดาห์สำหรับการวางแผน การพัฒนาตนเอง และการคิดสร้างสรรค์ เวลาสงบเงียบห่างจากสิ่งที่ทำให้เสียสมาธิในแต่ละวันสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าและช่วยให้บริษัทของคุณก้าวไปข้างหน้าได้
ส่วนตัวแล้ว ฉันแนะนำให้อ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องเพื่อรับแนวคิดและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีที่ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จคนอื่นๆ สร้างธุรกิจของพวกเขา
การรักษามุมมองระดับสูงเป็นงานที่ต้องสร้างสมดุลตลอดเวลา แต่มันจะช่วยให้คุณนำพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จใหม่ๆ ด้วยการมุ่งเน้นไปที่รายละเอียดที่สำคัญ พร้อมกับไม่ลืมที่จะก้าวถอยหลังและมองดูภาพรวมที่กว้างขึ้น คุณจะพร้อมที่จะนำธุรกิจของคุณไปสู่ความสำเร็จ
สิ่งสำคัญที่ควรจำไว้ในฐานะผู้ประกอบการก็คือ เลือกสิ่งที่สำคัญจริงๆ เรียนรู้ที่จะกรองเสียงรบกวนและสิ่งที่ทำให้ไขว้เขว งานที่ไม่สำคัญ และมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่จะสร้างความแตกต่างที่เห็นได้ชัดสำหรับธุรกิจของคุณ การพัฒนาทักษะการเลือกให้ความสนใจเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน เริ่มจากการระบุลำดับความสำคัญหลักของคุณและตัวชี้วัดที่มีอิทธิพลต่อการเติบโต จากนั้นสร้างวินัยในการตรวจสอบและมุ่งเน้นพลังงานและความพยายามของคุณไปที่สิ่งเหล่านั้นในทุกๆ วัน และอาจจะละเลยสิ่งอื่นๆ ไปบ้าง ด้วยเวลาและความสม่ำเสมอ การเลือกให้ความสนใจเฉพาะสิ่งที่จำเป็นจะกลายเป็นนิสัย และคุณจะพบว่าตัวเองก้าวไปข้างหน้าอย่างก้าวกระโดด สร้างธุรกิจที่คุณใฝ่ฝันมาตลอด
การสอนผู้ประกอบการหรือการเขียนเกี่ยวกับผู้ประกอบการมีความท้าทายอย่างมากเพราะไม่มีสูตรสำเร็จที่ชัดเจน จากตัวอย่างของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จแต่ละคน จะเห็นได้ว่าเส้นทางของพวกเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทุกช่วงเวลาทางธุรกิจและเทคโนโลยีเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมือนใคร คนถัดไปที่ประสบความสำเร็จแบบ Mark Zuckerberg จะไม่สร้างเว็บไซต์เครือข่ายสังคม คนถัดไปที่ประสบความสำเร็จแบบ Larry Page จะไม่สร้างเครื่องมือค้นหา และคนถัดไปที่ประสบความสำเร็จแบบ Bill Gates จะไม่สร้างบริษัทระบบปฏิบัติการ การลอกเลียนแบบบุคคลเหล่านี้หมายความว่าไม่ได้เรียนรู้จากพวกเขาจริง ๆ การทำธุรกิจไม่มีวิทยาศาสตร์แน่นอนเพราะวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยการทำซ้ำและการทดลองที่สามารถตรวจสอบได้ ในขณะที่บริษัทที่ยอดเยี่ยมทุกแห่งมีลักษณะเฉพาะตัว
แก่นแท้ของการเป็นผู้ประกอบการคือการเปลี่ยนจากศูนย์ไปเป็นหนึ่ง หนังสือของผม "Zero to One" เน้นแนวทางที่ไม่เน้นสูตรสำเร็จ โดยให้ความสำคัญกับความเป็นเอกลักษณ์ ผมใช้คำถามที่ตรงกันข้ามเพื่อเน้นจุดนี้ เช่น "ธุรกิจที่ยอดเยี่ยมที่ไม่มีใครสร้างคืออะไร?" และ "บอกสิ่งที่เป็นความจริงที่ไม่มีใครเห็นด้วยกับคุณ" คำถามเหล่านี้ยากที่จะตอบเพราะการค้นหาความจริงใหม่มักต้องการความกล้าหาญในการต่อต้านความเชื่อที่เป็นที่ยอมรับ
นี่คือความจริงที่ตรงกันข้ามสองประการที่ผมเชื่อว่ามีความสำคัญแต่ไม่เป็นที่เข้าใจกันอย่างกว้างขวาง:
ในฐานะผู้ประกอบการ เป้าหมายของคุณควรเป็นการสร้างสิทธิผูกขาด—บริษัทที่ยอดเยี่ยมและมีลักษณะเฉพาะจนไม่มีการแข่งขัน ซึ่งตรงกันข้ามกับความเชื่อที่เป็นที่ยอมรับทั่วไป ผมเชื่อว่าทุนนิยมและการแข่งขันไม่ใช่คำพ้อง แต่เป็นคำตรงข้าม ผู้ที่ทำธุรกิจสะสมทุน ทุนในโลกที่มีการแข่งขันสมบูรณ์จะถูกกัดกร่อนจนหมด หากคุณต้องการแข่งขันอย่างดุเดือด เปิดร้านอาหารในตลาดที่มีการแข่งขันสูง แต่บริษัทที่ยอดเยี่ยม เช่น Google ซึ่งแยกตัวออกจากคู่แข่งอย่าง Yahoo และ Microsoft ในช่วงแรก ได้สร้างกำไรมหาศาลจากการหลีกเลี่ยงการแข่งขัน
การผูกขาดมักถูกเข้าใจผิด เพราะผู้ที่มีสิทธิผูกขาดมักไม่พูดถึงความเป็นเจ้าของที่ชัดเจนของตน ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ไม่มีสิทธิผูกขาดมักย้ำความเป็นเอกลักษณ์ของธุรกิจตนเองเกินจริงเพื่อดึงดูดการลงทุน ตัวอย่างเช่น Google ไม่เคยกล่าวว่าตนเองครอบครองส่วนแบ่งการตลาดในการค้นหาที่ชัดเจน แต่จะนำเสนอตนเองเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่แข่งขันในตลาดหลากหลาย ในทางกลับกัน คนที่เปิดร้านอาหารที่มีลักษณะเฉพาะจะเน้นย้ำความแตกต่างของร้านเพื่อมอบเงินสนับสนุน
มันฟังดูแปลกใช่ไหม แต่ความเป็นจริงเป็นแบบนั้น ไม่มีใครตีร้องฆ้องเป่า ให้คนมาร่วมสังคกรรมและแชร์สิ่งที่คุณค้นพบหรอกน่า กว่าจะเข้ามา ขนาดก็ใหญ่มหึมาเสียจนยากที่จะตามทัน
หลายคนเชื่อว่าความจริงที่มีคุณค่าทั้งหมดได้ถูกค้นพบแล้ว นั่นเป็นความเชื่อของคนเขลาและมีมุมมองที่แคบ ในโลกนี้ยังมีความลับอีกมากมายที่ยังไม่ถูกค้นพบ
ความเชื่อที่แพร่หลายคือความจริงที่ยอมรับได้ทั่วไป
ความมหัศจรรย์คือความจริงที่เกินกว่าจะเข้าใจ
ความลับคือความจริงที่ยากจะค้นพบแต่สามารถทำได้ด้วยความพยายาม
การสำรวจพื้นที่ใหม่ ๆ เช่น เทคโนโลยีชีวภาพหรือเทคโนโลยีอวกาศสามารถเปิดเผยความลับเหล่านี้ได้
ในอดีต การค้นพบที่สำคัญได้เกิดขึ้นในสาขาเช่นภูมิศาสตร์และเคมีพื้นฐานซึ่งปัจจุบันได้รับการสำรวจเต็มที่แล้ว แต่ในโลกของไอที ยังมีโอกาสนับไม่ถ้วน แนวคิดเบื้องหลัง PayPal ที่รวมอีเมลกับเงิน เป็นไอเดียที่เรียบง่ายแต่ยังไม่ถูกค้นพบก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกัน ยังมีความลับมากมายรอการค้นพบในสาขาเทคโนโลยีหลากหลาย
เพื่อให้ประสบความสำเร็จในศตวรรษที่ 21 เราต้องการทั้งโลกาภิวัตน์และนวัตกรรมเทคโนโลยี สองแนวทางการพัฒนาเหล่านี้มักสับสนว่าเหมือนกันแต่จริง ๆ แล้วแตกต่างกันอย่างมาก โลกาภิวัตน์เกี่ยวข้องกับการคัดลอกและขยายเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วนำไปสู่การเติบโตในแนวนอน ประเทศจีนเป็นตัวอย่างที่ดีของโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน โดยการรับและปรับเทคโนโลยีตะวันตก (ซึ่งเดี๋ยวนี้ แม้แต่จีนก็เปลี่ยนไปแล้ว)
ในทางกลับกัน นวัตกรรมเทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับการสร้างสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งนำไปสู่การเติบโตในแนวตั้ง ยุคประวัติศาสตร์ของการพัฒนาเทคโนโลยีที่สำคัญ เช่น ศตวรรษที่ 19 มีการพัฒนาเทคโนโลยีและโลกาภิวัตน์อย่างมาก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 โลกาภิวัตน์ได้แซงหน้านวัตกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะนอกเหนือจากคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
เราควรพยายามขยายการพัฒนาไปไกลกว่านอกเหนือจากโลกดิจิทัล เพื่อรวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีทางกายภาพ ความแตกต่างระหว่างโลกที่พัฒนาแล้วและโลกที่กำลังพัฒนาในปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงมุมมองที่โปรโลกาภิวัตน์แต่ต่อต้านเทคโนโลยี ในทางตรงกันข้ามกับการที่เราเรียกว่ากำลังอยู่ในโลกที่พัฒนาแล้วซึ่งหมายความว่าไม่มีสิ่งใหม่ที่จะเกิดขึ้น เราต้องปฏิเสธแนวคิดนี้และหาวิธีพัฒนาต่อไปในโลกที่พัฒนาแล้ว
การเป็นผู้ประกอบการต้องการการยอมรับในความเป็นเอกลักษณ์และการค้นหาความจริงและนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยการมุ่งหวังให้ได้สิทธิผูกขาด ค้นพบความลับ และสมดุลระหว่างโลกาภิวัตน์กับการพัฒนาเทคโนโลยี เราสามารถสร้างธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง ลองท้าทายความเชื่อที่แพร่หลายและพยายามพัฒนาโลกที่พัฒนาแล้วเสมอ
เนื้อหาจาก video >> https://www.youtube.com/watch?v=vJ_zQEeU1ag
เบื้องหลังทุกคน เบื้องหลังทุกบริษัท เบื้องหลังทุกสิ่งมีเรื่องราวของการไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร เรื่องราวที่เกี่ยวข้องมากที่สุดเชื่อมโยงกันในระดับส่วนตัว ฉันชื่อ Beth Comstock ฉันเป็นผู้นำด้านการตลาดและนวัตกรรมที่ GE พนักงานมีทางเลือกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่เราทุกคนเต็มไปด้วยตัวเลือกว่าจะจัดสรรเวลาไว้ที่ใด ในโลกที่มีเครื่องจักรที่พูดคุย และผู้คนพูดคุยผ่านโซเชียลมีเดียมากขึ้น ความสามารถในการทำให้สิ่งต่าง ๆ ง่ายขึ้นเป็นสิ่งสำคัญมาก หากคุณเป็นบริษัทหรือองค์กรที่ต้องการเล่าเรื่องอย่างไรให้เป็นที่จดจำ
เมื่อคุณมีเรื่องราวที่ซับซ้อนมากที่จะพูดถึง ฉันพบว่าบ่อยครั้งในธุรกิจเรามักใช้การจัดการทางการเงินเชิงคณิตศาสตร์เชิงตรรกะ แต่ความจริงก็คือคุณต้องมีเรื่องราวเพื่อเชื่อมต่อกับบุคคล เชื่อมต่อกับลูกค้า เชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์ เราต้องการทราบว่าผ้าของเรามาจากไหน วัสดุในนาฬิกาของเรามาจากไหน และเครื่องยนต์ไอพ่นของเรามาจากไหน เราต้องการเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเพื่อพาเราไปยังจุดที่เราอยู่
คุณไม่สามารถขายอะไรได้จนกว่าคุณจะเข้าไปในใจของใครบางคน เราได้พูดคุยเกี่ยวกับส่วนแบ่งการตลาด แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการได้รับส่วนแบ่งทางความคิด การเข้าไปในจิตใจของผู้คน และสร้างเรื่องราวสำหรับสิ่งที่เป็นไปได้ หากคุณเริ่มต้นด้วยสมมติฐานว่าบริษัทของคุณสามารถเป็นนักเล่าเรื่องได้ คุณจะพบนักเล่าเรื่องได้ทุกที่ ฉันพบว่านักเล่าเรื่องที่เก่งที่สุดของเราบางคนเป็นวิศวกร คุณต้องการสร้างกลุ่มที่เก่งในการแปล พวกเขารู้วิธีที่จะกระตุ้นความหลงใหลในใครบางคนเพื่อให้พวกเขาเล่าเรื่องราวของพวกเขา
คุณต้องการเชื่อมต่อกับผู้คนและสื่อสารข้อความที่ต้องการสื่อออกไป การเล่าเรื่องคือการพาผู้คนไปยังสถานที่อื่น เชื่อมต่อกับความรู้สึกนึกคิด จำไว้ว่าตอนคุณยังเป็นเด็กเมื่อคุณมีจินตนาการที่พุ่งพล่าน มองเห็นเครื่องบินในเที่ยวบิน หรือเห็นรถไฟและเริ่มคิดถึงวิธีจินตนาการแบบนี้ ในการเล่าเรื่องคุณต้องเชื่อมต่อและมีข้อความที่ต้องการสื่อ มันเป็นศิลปะที่ว่าทำไมสิ่งนี้ถึงเกี่ยวข้อง
ตัวอย่างเช่น คุณอาจพูดถึงเครื่องยนต์ไอพ่นที่เรากำลังทำให้วัสดุมีน้ำหนักเบากว่าที่เคยเป็นมาถึง 90% ทำไมคุณถึงต้องสนใจ? เพราะมันช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และบางทีคุณอาจสนใจเกี่ยวกับโลกที่สะอาดขึ้น
การเล่าเรื่องเป็นการเชื่อมต่อกับผู้คนที่ค้นพบคุณค่าในเรื่องราวของคุณ และแบ่งปันในธุรกิจ คุณจะได้รับผลตอบแทนทางการเงิน แต่ที่สำคัญกว่านั้น หากคุณเปิดใจกว้างพอ และผู้คนเข้าใจและเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของคุณ การค้าและการเชื่อมต่อในระดับมนุษย์จะติดตามมา ผู้คนไม่ต้องการถูกขาย พวกเขาต้องการได้รับแรงบันดาลใจ และคุณต้องต่อสู้อย่างแท้จริงเพื่อสิ่งนั้น
ทุกคน ทุกบริษัท และทุกสิ่งล้วนมีเรื่องราวเบื้องหลังที่เชื่อมโยงกัน
ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยตัวเลือกและเทคโนโลยี การเล่าเรื่องที่เข้าใจง่ายมีความสำคัญมาก
การเล่าเรื่องช่วยสร้างการเชื่อมต่อระหว่างบุคคล ลูกค้า และผลิตภัณฑ์
ผู้คนต้องการทราบที่มาของสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น เสื้อผ้า นาฬิกา หรือแม้แต่เครื่องยนต์ไอพ่น
การตลาดที่แท้จริงคือการเข้าถึงจิตใจของผู้คน ไม่ใช่แค่การขาย
บริษัทควรส่งเสริมให้พนักงานทุกคนเป็นนักเล่าเรื่อง โดยเฉพาะวิศวกรที่มีความรู้เชิงลึก
การยอมรับตัวตนและค้นหาความงดงามในสิ่งที่ทำ จะช่วยสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจ
การใช้จินตนาการแบบเด็กๆ สามารถช่วยในการเล่าเรื่องและสร้างแรงบันดาลใจได้
เรื่องราวที่ดีควรเชื่อมโยงกับผู้ฟังและอธิบายว่าทำไมสิ่งนั้นถึงมีความสำคัญ
การเล่าเรื่องที่ดีจะนำไปสู่ผลตอบแทนทางธุรกิจ เพราะผู้คนจะเข้าใจคุณค่าและแบ่งปันต่อ
ผู้คนต้องการแรงบันดาลใจมากกว่าการถูกขาย การเชื่อมโยงในระดับมนุษย์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับบริษัท
สรุป: การเล่าเรื่องที่เข้าใจง่ายและสร้างแรงบันดาลใจเป็นกุญแจสำคัญในการเชื่อมโยงผู้คน สร้างความสัมพันธ์ และประสบความสำเร็จทางธุรกิจในโลกปัจจุบัน
หากคุณเคยสงสัยว่าอะไรคือความลับเบื้องหลังความสำเร็จด้านการลงทุนของวอร์เรน บัฟเฟตต์ คุณมักจะพบว่าชาร์ลี มังเกอร์อยู่เคียงข้างเขาเสมอ ที่อายุ 100 ปี ชาร์ลี มังเกอร์ที่ยังกระฉับกระเฉง เผยเคล็ดลับตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี ถึง พลังของการเรียนรู้ตลอดชีวิตและนิสัยการอ่านที่เปลี่ยนแปลงชีวิต
The habit of success: ความมุ่งมั่นในการอ่านตลอดชีวิต
กิจวัตรประจำวันของชาร์ลี มังเกอร์แตกต่างจากความวุ่นวายที่คุณอาจคาดหวังจากนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ อาวุธลับของเขาคืออะไร? หนังสือ จำนวนมาก มังเกอร์ใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันอ่านหนังสือ ซึ่งเป็นนิสัยที่เขารักษาไว้ตลอดชีวิต นี่ไม่ใช่แค่การอ่านพาดหัวข่าวหรือพลิกอ่านนิยายเป็นครั้งคราว มังเกอร์ดำดิ่งลึกลงไปในหัวข้อต่างๆ ตั้งแต่เศรษฐศาสตร์และกฎหมายไปจนถึงปรัชญาและพฤติกรรมมนุษย์
Attitude: ความอยากรู้อยากเห็นและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ทัศนคติของมังเกอร์มีรากฐานมาจากความเชื่อที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง: ความรู้ทบต้นทบดอก เหมือนดอกเบี้ยจากการลงทุนที่ดี เขาขับเคลื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีวันสิ้นสุดและความปรารถนาที่จะเข้าใจโลกให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทัศนคตินี้ไม่ใช่แค่การสะสมข้อเท็จจริง แต่เป็นการเชื่อมโยงความรู้จากหลากหลายสาขา ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจของเขา
Integrative ideas: แบบจำลองทางความคิดและการคิดข้ามสาขา
หนึ่งในแนวคิดทางปรัชญาที่สำคัญของมังเกอร์คือแนวคิดเรื่อง "แบบจำลองทางความคิด" (mental models) ซึ่งเป็นกรอบความคิดเพื่อทำความเข้าใจว่าโลกทำงานอย่างไร โดยดึงมาจากสาขาวิชาต่างๆ เช่น จิตวิทยา คณิตศาสตร์ และฟิสิกส์ มังเกอร์เชื่อว่าการพัฒนาโครงข่ายของแบบจำลองเหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ที่ซับซ้อนและตัดสินใจได้ดีขึ้น
เขาเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดการคิดแบบสหวิทยาการอย่างเต็มที่ มักจะอ้างคำพูดของชาร์ลส์ ดาร์วิน นักวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 19 ว่า "คนที่รู้เพียงสาขาเดียว แท้จริงแล้วไม่รู้แม้กระทั่งสาขานั้น" แนวทางของมังเกอร์สนับสนุนให้เราก้าวออกจากกรอบความรู้เฉพาะด้านและดึงความรู้จากแหล่งที่หลากหลาย
การเรียนรู้ทัศนคติ พฤติกรรมและการใช้ชีวิตของผู้ที่ก้าวสู่ความสำเร็จ อาจไม่ใข่ทางลัด แต่เป็นเหมือนแสงไฟจากประภาคารที่ส่องให้เราเห็นและก้าวเดินตาม
ในอาณาจักรแห่งสัญลักษณ์ มีไม่มากนักที่ icon ได้รับการใช้งานและยอมรับในระดับสากลและ smiley ใบหน้ายิ้มที่เรียบง่าย แต่สะท้อนอารมณ์ของความสุข เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง นี่แหละ เป็นสัญลักษณ์ของความสุข และ คิดบวกไปในจิตวิญญาณของมนุษย์
แต่เบื้องหลังสัญลักษณ์ที่แพร่หลายนี้มีเรื่องราวของความคิดสร้างสรรค์ ความบังเอิญ และผู้ที่ทำให้สัญลักษณ์นี้มีชีวิตขึ้นมา: Harvey Ross Ball
Harvey Ball เกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2464 ในเมืองวูสเตอร์ รัฐแมสซาชูเซตส์ เป็นศิลปินเชิงพาณิชย์และเป็นทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่สอง เขาก่อตั้งบริษัทออกแบบของตัวเองชื่อ Harvey Ball Advertising ในปี 1959 โดยเชี่ยวชาญด้านการสร้างโลโก้และการสร้างแบรนด์ให้กับบริษัทต่างๆ เขาไม่รู้เลยว่าคำสั่งง่ายๆ ในปี 1963 จะนำไปสู่การสร้างหนึ่งในสัญลักษณ์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก
บริษัท State Mutual Life Assurance (ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Hanover Insurance) เข้าหา Ball ด้วยคำขอให้ออกแบบความสุขที่ยิ้มแย้ม
พวกเขาต้องการการออกแบบเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจของพนักงานหลังจากการควบรวมกิจการและเลิกจ้างหลายครั้ง Ball ซึ่งเป็นที่รู้จักจากความสามารถในการกลั่นกรองความคิดที่ซับซ้อนให้กลายเป็นภาพที่เรียบง่าย ได้ลงมือทำงานแล้ว ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที เขาได้ร่างวงกลมสีเหลืองอันเป็นเอกลักษณ์โดยมีสองจุดสำหรับดวงตา และโค้งขึ้นเล็กน้อยสำหรับปาก ซึ่งเป็นใบหน้ายิ้มที่เรารู้จักในปัจจุบัน
ผลงานที่ดูเหมือนไม่ต้องใช้ความพยายามนี้จะกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ยั่งยืนของความสุขและความคิดเชิงบวก โดยก้าวข้ามอุปสรรคด้านภาษาและวัฒนธรรม มันสะท้อนกับผู้คนในระดับอารมณ์ที่ลึกซึ้ง โดยจับแก่นแท้ของการเชื่อมโยงของมนุษย์และการมองโลกในแง่ดี โดยพื้นฐานแล้ว มันเป็นรูปลักษณ์ของวลี “Have a nice day”
แต่เรื่องราวไม่ได้จบเพียงแค่นั้น แม้จะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่ Harvey Ball ไม่เคยจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าหน้ายิ้มนี้ และเขาไม่ได้รับค่าลิขสิทธิ์ใดๆ สำหรับการใช้งานดังกล่าว มีรายงานว่าเขารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ดำเนินการทางกฎหมายเพื่อปกป้องผลงานของเขา
อย่างไรก็ตาม บอลยังคงถ่อมตัวเกี่ยวกับการมีส่วนสนับสนุนวัฒนธรรมสมัยนิยมของเขา เขายังคงทำงานเป็นนักออกแบบกราฟิก โดยสร้างโลโก้และการสร้างแบรนด์ให้กับลูกค้าหลายราย แต่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มยังคงเป็นมรดกที่ยั่งยืนที่สุดของเขา
ในปี 1999 Harvey Ball เสียชีวิตในวัย 79 ปี โดยทิ้งมรดกที่ยังคงนำความสุขมาสู่ผู้คนนับล้านทั่วโลก ผลงานสร้างสรรค์ที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งของเขาคือใบหน้ายิ้ม ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจถึงพลังแห่งความเป็นบวกและความสามารถของภาพเดียวในการรวมมนุษยชาติให้เป็นหนึ่งเดียวในอารมณ์ที่มีร่วมกัน
ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณเห็นหน้ายิ้ม ไม่ว่าจะบนเสื้อยืด ป้ายโฆษณา หรือข้อความ ให้ใช้เวลาสักครู่เพื่อรำลึกถึงชายผู้อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น นั่นคือ Harvey Ross Ball ผู้ซึ่งการสร้างสรรค์อันเหนือกาลเวลายังคงส่งต่อความสุขต่อไป ยิ้มในแต่ละครั้ง
หลู่ ซุน กับห้องทำงานของเขา
"Time is like water in a sponge, as long as you are willing to squeeze it, there is always something"
“เวลาก็เหมือนกับน้ำในฟองน้ำ เมื่อยามที่คุณบีบมัน ยังไงก็ต้องมีบางสิ่งออกมาเสมอ”
-หลู่ซุน
เราต่างบ่นว่าไม่มีเวลา หรือคนที่มีเวลา ก็ใช้แบบสุรุ่ยสุร่ายไปเหมือนมันไม่มีวันหมด เราใช้เวลาแตกเป็นเสี่ยง ๆ โยนไปกับสิ่งที่ไม่มีค่า เราถูกชักจูงไปกับสิ่งแวดล้อมที่พร้อมขโมยเวลาของเรา
เวลา อาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ราคาแพงที่สุดก็ว่าได้ เราบอกว่าไม่มีเวลา แต่เมื่อเราต้องการมันจริง ๆ ในสิ่งที่จำเป็น มันก็จะยังมีให้เราเค้นอีกนั่นแหละ
โจว ชู่เหริน หรือที่รู้จักกันดีในนามปากกา หลู่ซุน ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวรรณคดีจีนสมัยใหม่ เขาเกิดในปี พ.ศ. 2424 และเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2479 หลายคนในยุคนั้นยกย่องเขาว่าเป็นตัวแทนที่สำคัญที่สุดของจิตสำนึกของประเทศจีน
ชื่อเสียงของหลู่ซุนโด่งดังจากเรื่องสั้นที่เขาเขียนในภาษาจีนสมัยใหม่ ผลงานของเขามีทั้งแบบเยือกเย็น ตลกขบขัน และเสียดสีสังคม หลู่ซุนยังเขียนบทกวี ร้อยแก้ว ประวัติศาสตร์วรรณกรรม การวิจารณ์วัฒนธรรม และบทความเชิงโต้แย้งอีกด้วย
ในช่วงปลายทศวรรษ 1920 หลู่ซุนกลับมาโด่งดังอีกครั้งจากบทความประเภท feuilleton ที่เขาใช้โจมตีรัฐบาลขุนศึกในกรุงปักกิ่ง ต่อมาในทศวรรษ 1930 เขายังคงใช้บทความประเภทนี้ต่อต้านพรรคชาตินิยมที่เข้ายึดครองรัฐบาลของสาธารณรัฐจากขุนศึก แต่ปกครองแบบเผด็จการ
ผลงานของหลู่ซุนสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาทางสังคมและการเมืองของจีนในยุคนั้น เขาวิพากษ์วิจารณ์ระบบศักดินา ความงมงาย และความอ่อนแอของชาวจีน ผลงานของเขามีอิทธิพลต่อนักเขียนรุ่นต่อๆ มาอย่างมาก และยังคงได้รับการอ่านอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ผลงานสำคัญ
เรื่องสั้น: "ตะโกนสู้", "อาQ จริงใจ", "ยา"
บทความ: "บันทึกจากห้องใต้หลังคา", "การวิพากษ์วิจารณ์วรรณกรรมจีน"
รางวัล
รางวัลวรรณกรรมโลก นีลส์ โบห์ร (2005)
มรดก
หลู่ซุนได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน
ผลงานของเขามีอิทธิพลต่อนักเขียนรุ่นต่อๆ มาอย่างมาก
หลายเมืองในจีนมีถนนหรือสถานที่ที่ตั้งชื่อตามเขา
22 ข้อคิดชีวิต จาก Kevin Kelly ผู้ก่อตั้ง Wired Magazine
1. วิธีพูดคุยกับผู้คน: การฟังเป็นมหาอำนาจ เวลาคุยกับคนที่คุณรัก ให้ถามเขาว่า “มีอีกไหม” (จนกว่าจะไม่มีอีก).
2. วิธีเรียนรู้จากผู้คน: หากคุณเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในห้อง แสดงว่าคุณอยู่ผิดห้อง ออกไปเที่ยวและเรียนรู้จากคนที่ฉลาดกว่าคุณ หาคนฉลาดที่จะไม่เห็นด้วยกับคุณ
3. วิธีทำตัวให้น่าสนใจ: ยิ่งคุณสนใจคนอื่นมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งสนใจคุณมากขึ้นเท่านั้น
4. วิธีประหยัดเงิน: ใช้ชีวิตอย่างประหยัดที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่อคุณยังเด็ก อย่างน้อยหกเดือน เป็นเจ้าของให้น้อยที่สุด อาศัยอยู่ในห้องเล็ก ๆ - และกินถั่วและข้าว ด้วยวิธีนี้ เมื่อใดก็ตามที่คุณต้องเสี่ยงบางอย่างในอนาคต คุณจะไม่ต้องกลัวสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
5. วิธีได้รับความเคารพ: ซื่อสัตย์เกี่ยวกับความผิดของคุณ ไม่มีอะไรจะยกคนให้สูงไปกว่าความรับผิดชอบ
6. วิธีจัดการกับคนหยาบคาย: ปฏิบัติต่อพฤติกรรมของพวกเขาเหมือนเป็นความทุกข์หรือความเจ็บป่วยที่พวกเขามี วิธีนี้จะช่วยให้มีความเห็นอกเห็นใจต่อพวกเขาได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะทำให้ความขัดแย้งสงบลงได้
7. วิธีค้นหาความหลงใหลของคุณ: วิธีที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุณจะควบคุมมุมมองเพื่อค้นหาความสุขของคุณได้อย่างมั่นคง
8. วิธีเลี้ยงลูกให้มีความมั่นใจ: เสริมสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว พูดอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่โดดเด่นเกี่ยวกับครอบครัวของคุณ ลูก ๆ ของคุณควรพูดได้อย่างภาคภูมิใจว่า “ครอบครัวเราทำ [X]”
9. วิธีเลี้ยงลูกให้ฉลาด: เมื่อพวกเขาถามซ้ำซากว่า “ทำไม” คำถามอย่าตอบทั้งหมด คำตอบที่ฉลาดที่สุดคือ "ฉันไม่รู้ คุณคิดอย่างไร?"
10. วิธีซื้อและขายหุ้น: หากคุณกำลังซื้อหุ้น คนขายจะมองว่ามันมีมูลค่าน้อยกว่าคุณ หากคุณขาย พวกเขาคิดว่ามันคุ้มกว่าที่คุณขาย ทุกครั้งที่คุณพร้อมที่จะซื้อหรือขายหุ้น ให้ถามตัวเองว่า “ฉันรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่รู้”
11. วิธีใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด: เลือกความสนใจบางอย่างที่คุณสามารถเพลิดเพลินได้อย่างเต็มที่ อันที่จริง จงประหยัดอย่างรอบด้านเพื่อที่คุณจะได้ดื่มด่ำกับสิ่งที่คุณหลงใหล
12. ทิปเท่าไหร่: ตราบใดที่ประสบการณ์ยังน่าพอใจ ให้ทิปอย่างน้อยระหว่าง 15% ถึง 20% และถ้าคุณหยุดฟังนักดนตรีนานกว่าหนึ่งนาที คุณเป็นหนี้เขาหนึ่งดอลลาร์
13. วิธีปรับตัว: มีสามสิ่งที่คุณต้องการในชีวิต: ความสามารถในการไม่ยอมแพ้กับบางสิ่งจนกว่าจะได้ผล; ความสามารถในการยอมแพ้ในสิ่งที่ไม่ได้ผล และความไว้วางใจในผู้อื่นเพื่อช่วยให้คุณแยกแยะความแตกต่างระหว่างทั้งสอง
14. วิธีเพิ่มเงินเดือนของคุณ: เวลาที่ดีที่สุดในการเจรจาต่อรองเงินเดือนสำหรับงานใหม่คือช่วงเวลาที่พวกเขาบอกว่าต้องการคุณ ไม่ใช่ก่อนหน้านี้ จากนั้นมันจะกลายเป็นเกมชนไก่ที่แต่ละฝ่ายต้องบอกจำนวนก่อน แต่จะเป็นประโยชน์ของคุณที่จะให้พวกเขาบอกจำนวนก่อนที่จะทำ
15. วิธีระบุกลุ่มอาการแอบอ้าง: เมื่อคุณสร้างสิ่งที่มีเพียงคุณเท่านั้นที่มีพรสวรรค์และประสบการณ์เฉพาะตัวเท่านั้นที่ทำได้ แสดงว่าคุณไม่ใช่นักต้มตุ๋นอย่างแน่นอน ท่านเป็นผู้ออกบวช. โชคชะตาของคุณคือการทำงานในสิ่งที่มีเพียงคุณเท่านั้นที่ทำได้
16. ทำอย่างไรจึงจะมีความสุข: ความทุกข์เกิดจากการอยากได้ในสิ่งที่คนอื่นมี ความสุขเกิดจากการอยากได้สิ่งที่มีอยู่แล้ว
17. วิธีพูดในที่สาธารณะให้ดีขึ้น: ดูบันทึกการพูดของตัวเอง มันอาจจะน่าตกใจและเจ็บปวด แต่มันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปรับปรุง
18. วิธีการกล่าวคำขอโทษที่ถูกต้อง: แสดงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอย่างจริงใจ รับผิดชอบ และเสนอวิธีแก้ไขเพื่อแก้ไขสิ่งต่างๆ
20. วิธีการตัดสินใจที่ดี: ถามตัวเองว่า “ทางเลือกใดจะให้ผลตอบแทนมากกว่าในภายหลัง” ตัวเลือกที่ง่ายจะจ่ายออกทันที แต่ตัวเลือกที่ดีที่สุดจะจ่ายออกในตอนท้าย
21. วิธีวัดความมั่งคั่ง: ไม่ใช่จากสิ่งที่คุณซื้อได้ แต่วัดจากสิ่งที่ไม่มีเงินซื้อได้
22. วิธีเลือกคำแนะนำที่ถูกต้อง: คำแนะนำเช่นนี้ไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นเพียงแค่หมวกเท่านั้น! หากไม่พอดี ให้ลองอันอื่น
- อจ สุรัตน์