“โลกไม่รอใคร... โดยเฉพาะคนที่ยังไม่พร้อมจะเปลี่ยน”
คำกล่าวนี้อาจฟังดูแรงไปนิด แต่ถ้าคุณได้ฟังการบรรยายของ ดร.รนกร ไวุฒิ รองคณบดีจากสถาบันนวัตกรรมบูรณาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในงาน HealthNEXT 2025 คุณจะเข้าใจว่า "ความเปลี่ยนแปลง" นั้นไม่ใช่แค่สิ่งที่เกิดขึ้น… แต่มันคือ "คลื่น" ที่คุณต้อง “โต้” ให้ไวที่สุดเท่าที่จะไวได้
โลกที่เปลี่ยนเร็วเกินจะตั้งหลัก
ในอดีต การเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ใช้เวลา 10 ปี แต่วันนี้ 2 วันก็อาจจะเจ๊งได้ ถ้าไม่รู้จักปรับตัว สกิลที่สำคัญที่สุดในโลกยุคนี้คือ “Speed to Adapt” – การรู้ทัน, ตัดสินใจไว, ปรับตัวเก่ง และเคลื่อนไหวเร็ว
แต่การปรับตัวไม่ใช่เรื่องของทักษะอย่างเดียว
มันคือ “วิธีคิด” (Mindset) ต่างหาก ที่เป็น “ทรัพยากรที่หายาก” ที่สุดในโลกยุคนี้
ความท้าทายของนวัตกรรม: ไม่ใช่เทคโนโลยี แต่คือ “วิธีคิด”
ดร.รนกร ตั้งคำถามสำคัญไว้ว่า…
“ของดี ๆ ในแล็บมีอยู่เต็มไปหมด แล้วทำไมยังเปลี่ยนโลกไม่ได้?”
คำตอบคือ… “ติดคอขวด”
คอขวดที่ว่านี้ ไม่ใช่เทคโนโลยี
แต่คือ Mindset ของคนทำ
โลกยุคใหม่มีปัญหาหลายชั้น (Complexity) การแก้ 1 ปัญหาด้วย 1 วิธี อาจไปสร้างปัญหาอีก 3 อย่างโดยไม่ตั้งใจ สิ่งที่ต้องการไม่ใช่ “ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน” อย่างเดียว แต่คือ “การบูรณาการ” ความรู้หลายด้านเข้าด้วยกัน
4 Mindset Shift ที่จะพาคุณเป็น Next Gen Innovator
ดร.รนกรสรุปวิธีเปลี่ยน “นักเรียน/นักวิจัยธรรมดา” ให้กลายเป็น นักนวัตกรรมรุ่นใหม่ ได้อย่างน่าสนใจ ผ่าน 4 การเปลี่ยนความคิด ดังนี้:
1. จาก “รักในทางออก” → เป็น “รักในปัญหา”
คนส่วนใหญ่หลงรัก Solution ของตัวเอง ทั้งที่อาจไม่มีใครอยากใช้มัน
💡 “ถ้าคุณรัก Product มากไป… คุณจะไม่กล้าทิ้งมัน แม้มันไม่ตอบโจทย์ใครเลย”
นวัตกรรมที่แท้จริงเริ่มจาก “ปัญหาที่ใช่” ไม่ใช่ Solution ที่เท่
2. จาก “ผู้เชี่ยวชาญ” → เป็น “นักบูรณาการ”
นวัตกรรมไม่ได้เกิดจากคนเก่งเดี่ยว ๆ แต่เกิดจากทีมที่เข้าใจภาพใหญ่
🧩 ต้องเป็น “T-shaped People” — ลึกในบางเรื่อง กว้างในหลายด้าน และเชื่อมโยงความรู้ข้ามศาสตร์ได้
ตัวอย่างเช่น หมอที่เข้าใจโค้ดดิ้ง วิศวกรที่เข้าใจจิตวิทยา หรือนักวิจัยที่ฟังเสียงตลาดเป็น
3. จาก “วางแผนให้เป๊ะ” → เป็น “สร้าง-วัด-เรียนรู้”
ในโลกจริง ไม่มีเวลาให้คุณนั่งแผนเป๊ะ ๆ 6 เดือนแล้วเพิ่งเริ่มทำ
ใช้หลัก “Build – Measure – Learn” สร้าง MVP ออกมาก่อน แล้วเรียนรู้จาก Feedback
จำไว้ว่า MVP ที่ "ง่อย ๆ" แต่ได้ลองจริง ดีกว่าแผนที่อยู่แต่ในกระดาษ
4. จาก “ทำนายอนาคต” → เป็น “พร้อมรับทุกอนาคต”
ไม่มีใครทำนายอนาคตได้ แต่ทุกคน สร้างความพร้อมที่จะปรับตัวได้
🔍 ทักษะสำคัญไม่ใช่ Crystal Ball แต่คือ
– การสแกนสัญญาณ (Signal Scanning)
– การวางแผนฉากทัศน์ (Scenario Planning)
– การสร้างความยืดหยุ่นในตัวเอง (Resilience)
จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ: ตัวอย่างจากจุฬาฯ
คำถามคือ… แล้วจะฝึก Mindset เหล่านี้ได้จริงหรือ?
คำตอบจาก L.S.I.I. (สถาบันนวัตกรรมบูรณาการ จุฬาฯ) คือ “สร้างสภาพแวดล้อมที่บ่มเพาะ” มากกว่าสอนแบบท่องจำ
3 เสาหลักของหลักสูตรคือ:
Integrated Core – สอนทั้งเทคโนโลยี & ธุรกิจแบบบูรณาการ
Project-Based Journey – ให้ลงมือทำจริง เพื่อลดอคติและเรียนรู้จากสนามจริง
Ecosystem – มีระบบนิเวศ (Mentor, Partner, Market) รองรับไอเดียให้เกิดขึ้นจริง
ในปีท้าย ๆ ของหลักสูตร เด็ก ๆ ไม่เน้นสอบ แต่ทำโปรเจกต์จริงที่ใช้สอบได้หลายวิชาในเวลาเดียวกัน (Synergy Projects)
มีโปรแกรมอย่าง A-School ที่ใช้ “State Gate Model” แบ่งความก้าวหน้าของโปรเจกต์ออกเป็น 7 ระดับ เพื่อให้คำปรึกษาที่เหมาะสมกับแต่ละจุด
ถ้าคุณอยากเป็น Innovator… เริ่มต้นแบบนี้:
สัปดาห์แรก: ตกหลุมรักปัญหาที่ยังไม่มีใครแก้ (Unmet Need) สักเรื่อง
ภายในเดือนนี้: หาเพื่อนร่วมทีมแบบ T-shape สักคน
ภายใน 3-4 เดือน: ลองสร้าง MVP ง่าย ๆ ขึ้นมาทดสอบตลาด
อย่ารอให้โปรเจกต์สมบูรณ์แบบ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าทฤษฎีคือ เสียงจากลูกค้า
สรุปส่งท้าย:
“อนาคตของการดูแลสุขภาพจะถูกสร้างโดยผู้บูรณาการ (Integrator)”
และอาจไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด...
แต่เป็นคนที่ พร้อมเปลี่ยน พร้อมเรียนรู้ และพร้อมลงมือทำเร็วที่สุด
อนาคตไม่ได้รอใคร
แต่ถ้าคุณ “โต้คลื่นให้ไว” พอ...
คุณก็สร้างมันได้เอง