• home
  • project and work
    • MEDCHIC and SMID
    • SmileMigraine
    • Creative project
    • TEDx Chiangmai
    • ChivaCare
    • Headache Leader
    • JW Herbal
  • bog bog - the ideas blog
  • Video
  • Event/Talk/Award
  • biography
  • contact
  • Menu

surat tanprawate

M.D.
  • home
  • project and work
    • MEDCHIC and SMID
    • SmileMigraine
    • Creative project
    • TEDx Chiangmai
    • ChivaCare
    • Headache Leader
    • JW Herbal
  • bog bog - the ideas blog
  • Video
  • Event/Talk/Award
  • biography
  • contact
surat tanprawate
M.D.

สมองไมเกรนกับคนไข้ปากเหม็น

Added on April 16, 2025 by Surattanprawate.

อจ.รักษาคนไข้ไมเกรนมากกี่พันคนแล้ว อืม น่าจะหลายพัน คนไข้บางคน ปวดรุนแรงมาก บ้างหาเหตุได้ บ้างก็หาเหตุไม่เจอ

ทำไมถึงต้องเป็นเรา คนไข้บ่นบ่อย ๆ

เออ อันนี้บางทีก็บอกยาก ไม่ใช่ ไม่มีเหตุ แต่มันหากเหตุไม่เจอ

แต่สัปดาห์ก่อน

หมอ ผมรู้ละ ไมเกรนกำเริบเพราะแฟนปากเหม็น เนี่ย ให้ไปหาหมอฟันก็ไม่ไป ดูไม่ค่อยทำความสะอาด แล้ว ปากเหม็น นี่กลิ่นมันกระตุ้นไมเกรน ใช่ไหมหมอ ?

คนไข้ "ไม่เห็นเหม็นเลย หอม จะตาย" พูดพลาง เอามือมาอังแล้วพ่นลมออกมา หะ หะ นี่แน่ เอาไปดมดู

เหมือนทีเล่นทีจริง คือปากเหม็น ปากไม่สะอาด มันจะไปเกี่ยวกับไมเกรน ยังไง เอ หรือ ปากเหม็น ๆ มันทำให้คนเป็นไมเกรนสูดลมหายใจกระตุ้น ตลอดเวลาหรือเปล่า นะ

ปากเหม็น หรือ สุขภาพช่องปากไม่ดี จริง ๆ ปัจจุบัน มันมีงานวิจัย ที่บ่งว่า มันเกี่ยวกับโรคหลายโรคเลย และ พอค้นใน pubmed ก็พบว่า มีวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์แล้ว ไมเกรน มันเกี่ยวกับปากเหม็นจริง ๆ นะ

เรื่องจริง ของความเกี่ยวข้องของอวัยวะที่น่าประหลาดใจ

อวัยวะของเราในร่างกายมีหลายอวัยวะ หน้าที่มันแตกต่าง แม้มันอยู่ในร่างกายเดียว แต่เดี๋ยวนี้งานวิจัยได้ชี้ว่า มันมีความเกี่ยวข้องกันแบบคาดไม่ถึง (และนี่ทำให้การรักษาโรคในปัจจุบันแบบแยกส่วน บางทีโรคก็ไม่ได้ดีขึ้นหนะสิ)

อย่างการศึกษาชิ้นใหม่ ที่พบความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างสุขภาพช่องปากที่ไม่ดี (ทำให้ปากเหม็น) ที่มีแบคทีเรียในช่องปาก หรือ ที่เรียกว่า "ไมโครไบโอม" และสมองที่ไวต่อความเจ็บปวด

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์และ Viome Life Sciences ได้ตั้งคำถามวิจัยถึงความเกี่ยวข้องของอวัยวะที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน คือ สุขภาพช่องปากและอาการสมองไวต่อความปวด โดยได้เก็บข้อมูลจากผู้หญิง 158 คนในเมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ โดยต้องไม่สูบบุหรี่ ไม่มีเบาหวานหรือโรคอักเสบเรื้อรัง ทีมวิจัยได้ใช้แบบสอบถามสุขภาพช่องปากขององค์การอนามัยโลก (WHO), เครื่องมือวัดความเจ็บปวดที่ผ่านการรับรอง, และการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำลายด้วยเมตา-ทรานสคริปโตมิกส์ เพื่อสำรวจความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพช่องปาก ไมโครไบโอม และความเจ็บปวด

โดยความเจ็บปวดที่ศึกษา ได้แก่ อาการปวดเรื้อรัง เช่น ไฟโบรมัยอัลเจีย ไมเกรน และลำไส้แปรปรวน (IBS) ส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะในผู้หญิง

ผลการศึกษา

สุขภาพช่องปาก & ความเจ็บปวด

• ผู้ที่มีคะแนนสุขภาพช่องปากต่ำ พูดง่ายๆ คือ ปากเหม็นเพราะมี แบคทีเรียมาก มีคะแนนความเจ็บปวดทางร่างกายสูงขึ้น, ไมเกรนบ่อยขึ้น และปวดท้องมากขึ้น (_p_< 0.001)

• ผู้หญิงที่มีสุขภาพช่องปากแย่ที่สุดมีแนวโน้มที่จะเป็นไมเกรนเรื้อรังหรือถี่มากกว่าคนทั่วไปถึง 2–3 เท่า

ชนิดแบคทีเรียที่เกี่ยวข้อง

• หากพิจารณาชนิด แบคทีเรีย จะมีการพบ Gardnerella, Mycoplasma salivarium , และ Lancefieldella ในระดับสูงเชื่อมโยงกับคะแนนสุขภาพช่องปากที่ต่ำและความเจ็บปวดที่มากขึ้น

• สี่สายพันธุ์ที่สัมพันธ์กับความเจ็บปวดทางร่างกาย ได้แก่

---

มันอธิบายความเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร

ผลลัพธ์สนับสนุนแนวคิดเรื่อง แกนประสาท–ไมโครไบโอมในช่องปาก ซึ่งเป็นเส้นทางใหม่ในการเข้าใจอาการปวด โดยสิ่งที่พบ

- เชื้อโรคในช่องปากสามารถปล่อยโมเลกุลที่ก่อให้เกิดการอักเสบ เช่น LPS (lipopolysaccharide) ซึ่งอาจเข้าสู่กระแสเลือดและกระตุ้น การอักเสบของระบบประสาท

- แบคทีเรียอย่าง Mycoplasma salivarium กระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันในเหงือกและผลิตไซโตไคน์อักเสบ ซึ่งเคยพบในข้อต่อของผู้ป่วย TMJ (ขากรรไกร)

- จุลชีพบางชนิดสามารถกระตุ้นการผลิต CGRP และ VEGF ซึ่งมีบทบาทในการเพิ่มสัญญาณปวดและพบในระดับสูงในไมเกรนและไฟโบรมัยอัลเจีย

นั่นแสดงว่า การมีสุขภาพช่องปากไม่ดี ปล่อยให้แบคทีเรียปากเหม็น มาสร้างรังอยู่ มันจะทำให้เกิดการอักเสบเข้าไปในกระแสเลือดได้ และสารเหล่านั้นก็ทำให้สมองตอบสนองให้ไวขึ้น

โอว นี่ต่อไปรักษาคนไข้ไมเกรน ต้องให้เค้าอ้าปากให้ดมว่าเหม็นหรือเปล่านะ

เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า หากปวดเรื้อรัง สำรวจ ช่องปากตัวเองให้ดี ไม่แน่ อาจทำให้อาการปวดที่เป็นหายก็ได้ หากรักษาช่องปากให้ดีนะ

- อจ สุรัตน์

In สาระสมอง, Health Tags health
Comment

15 ทักษะคนยุคใหม่ ที่เป็นที่ต้องการในปี 2025

Added on April 13, 2025 by Surattanprawate.

ข้อมูล LinkedIn ที่เผยแพร่ผ่าน Forbes 15 ทักษะที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในปี 2025

คือ Linkedin นี่ Platform หางาน ระดับ Professional เค้า ก็ analyse ได้ดีนะ คงตรง แบบระดับ future trend require and international ด้วย ซึ่ง ใครมีก็ถือว่าต้องแสดง ใครไม่มีก็ต้องฝึก หรือ Boss ก็ ควรฝึก upskill พนักงานตัวเอง

เท่าที่อ่านดู เน้นทั้งด้านเทคโนโลยีและทักษะที่เกี่ยวกับมนุษย์

1. ความรู้พื้นฐานด้าน AI (AI Literacy) – เข้าใจวิธีการทำงานและประยุกต์ใช้ AI

2. การบริหารความขัดแย้ง (Conflict Mitigation) – รับมือกับความเห็นต่างอย่างสร้างสรรค์

3. ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability) – พร้อมเปลี่ยนแปลงและเรียนรู้สิ่งใหม่

4. การปรับปรุงกระบวนการทำงาน (Process Optimization) – ทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

5. ความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม (Innovative Thinking) – คิดนอกกรอบเพื่อแก้ปัญหา

6. การพูดในที่สาธารณะ (Public Speaking) – สื่อสารอย่างมั่นใจและมีอิทธิพล

7. การขายที่เน้นการแก้ปัญหา (Solution-Based Selling) – เข้าใจลูกค้าและเสนอสิ่งที่ตอบโจทย์

8. การดูแลและมีส่วนร่วมกับลูกค้า (Customer Engagement & Support) – สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า

9. การบริหารผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (Stakeholder Management) – ประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ

10. การพัฒนาและประยุกต์ใช้โมเดลภาษา (LLM Development & Application) – ใช้โมเดลภาษาอย่าง ChatGPT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

11. การบริหารงบประมาณและทรัพยากร (Budget & Resource Management) – ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

12. กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาด (Go-to-Market Strategy) – วางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการ

13. การปฏิบัติตามข้อกำหนด (Regulatory Compliance) – เข้าใจกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง

14. กลยุทธ์การเติบโต (Growth Strategy) – ขยายธุรกิจอย่างยั่งยืน

15. การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) – คาดการณ์และลดความเสี่ยงล่วงหน้า

/ อจ สุรัตน์

In Business, Innovation, startup Tags Innovation, startup
Comment

เมื่อความรักคือความเห็นแก่ตัวเอง

Added on April 5, 2025 by Surattanprawate.

การหึงหวง ไม่ใช่เพราะรักเขา แต่เป็นเพราะรักตัวเอง

จริง ๆ แล้ว มันมาจากความกลัวล้วน ๆ

กลัวว่าเขาจะไม่สนใจเราเหมือนเดิม

กลัวว่าเขาจะไปชอบคนอื่นมากกว่า

กลัวว่าเราจะ “ไม่พอ” สำหรับเขา

แล้วก็กลัวว่าความรู้สึกที่ให้ไปจะโดนมองข้าม

หึงเพราะกลัวเสีย ไม่ใช่เพราะหวังดี

หวงเพราะกลัวเขาไปจากเรา ไม่ใช่เพราะอยากให้เขามีความสุข

บางทีเราก็แค่ไม่อยากแพ้ ไม่อยากถูกแทนที่

มันเลยกลายเป็นความรู้สึกที่เหนื่อย ทั้งกับตัวเองแล้วก็คนที่อยู่ข้าง ๆ

แต่ถ้ามองให้ลึกกว่านั้น

ความหึงหวงมันสะท้อน “ความยึดมั่นถือมั่น” ในตัวตนและความเป็นเจ้าของ

เป็นเหมือนกับการยึดคนคนหนึ่งไว้ให้เป็นของเรา ทั้งที่ในความเป็นจริง

ไม่มีใครเป็นของใครได้ตลอดไป

นักปราชญ์หลายคนเคยพูดไว้ว่า

“ความรักที่แท้จริงคือการปล่อยให้เป็นอิสระ ไม่ใช่การกักขังไว้ด้วยความกลัว”

เพราะถ้ารักแล้วต้องหวง ต้องควบคุม ต้องกลัวว่าจะถูกแย่ง

นั่นอาจไม่ใช่ความรัก แต่มันคือความอยากครอบครอง

และเมื่อความรักกลายเป็นกรง ความสุขก็จะบินหนีไปเสมอ

สุดท้ายแล้ว…

การปล่อยให้เขาได้เลือกทางของตัวเอง โดยที่เรายังยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง

นั่นแหละ คือรักที่โตพอ และรักตัวเองเป็นจริง ๆ

ลูกฉันเป็นคนดี

เพราะยังไงก็ยังเป็นคน คนนั้น ฝังด้วยความเห็นแก่ตัว พ่อแม่สอนแต่ความรักในครอบครัว แต่ไม่ได้สอนให้การเผื่อแผ่ความรักและการลดละความรักตัวเองจนเดือดร้อนคนอื่น

น่าเสียดาย เพราะคนที่จากไป เค้าก็รักชีวิตตัวเองเหมือนกัน

- อจ สุรัตน์

In Life, Person, Philosophy, Psychology Tags psychology, Life
Comment

Art of the Deal: When Trump Shake the Table

Added on April 5, 2025 by Surattanprawate.

Trump เล่นเกมส์ “เขย่าโต๊ะ” เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง และบีบให้คู่เจรจาเข้าสู่โต๊ะเจรจาในจุดที่เขาได้เปรียบมากที่สุด

เคยอ่านหยังสือ เทคนิคนี้ ใน Art of the Deal ทรัมป์พูดถึงการใช้ “leverage” หรือแต้มต่อที่มีในการต่อรอง และมักใช้วิธีการกดดันอย่างแข็งกร้าวเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามยอมเจรจา หรือยอมถอย โดยการขึ้นภาษีก็เหมือนกับการ “เปิดเกมใหญ่” เพื่อเขย่าความมั่นคงของอีกฝ่าย แล้วใช้ความไม่แน่นอนเป็นอาวุธต่อรอง

คือ สิ่งที่เราต้องทราบถึงจุดหมายการทำตัว บ้าๆ บวมๆ กล้าลุยคือ การทำให้เกิดความไม่แน่นอนและความกลัว มันประหลาดดี แต่นี่คือ จิตวิทยาที่ได้ผล

สรุปหลักมาให้ Art of the Deal (ศิลปะแห่งการเจรจา)

1. คิดใหญ่ (Think Big) เขาเดิมพันสูง” เพราะถ้าจะเหนื่อยทั้งที ควรเหนื่อยกับของใหญ่ที่คุ้มค่า

2. ใช้ Leverage (แต้มต่อ) อย่างชาญฉลาด

คือ เขาบีบให้เข้ามาเจรจา การเจรจาที่ดีคือการรู้ว่าเราถือไพ่อะไร และใช้มันให้ถูกจังหวะ เช่น การขึ้นภาษีกับจีนก็เป็น “ไพ่ต่อรอง” ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย

3. สร้างความไม่แน่นอน (Unpredictability)

บ้าๆ คือไม่แน่นอน และทรัมป์มักใช้ความไม่แน่นอนให้เป็นประโยชน์ Art of the Deal (ศิลปะแห่งการเจรจา)

4. ทำให้ตัวเองดูเหมือนเป็นผู้ชนะเสมอ (Always look like a winner)

นักสร้างภาพลักษณ์ ก็นี่แหละ สไตล์ Elin เลย ภาพลักษณ์คือทุกสิ่ง ต้องทำให้ดูเหมือนประสบความสำเร็จ แม้จะยังไม่สำเร็จจริง เพื่อให้คนเชื่อและตาม

5. รู้จักจัดการกับสื่อ (Control the narrative)

หากติดตามนะ เค้าสื่อสารเร็ว สื่อสารหนัก ให้อยู่ในสื่อ กระแส เขาจะ “ขายเรื่องราว” ของตัวเองให้สื่อ และใช้สื่อเป็นเครื่องมือกดดันอีกฝ่าย

6. อย่ากลัวที่จะเดินออกจากดีล (Be ready to walk away)

ด้วยบุคลิกไม่แน่นอน เค้าใช้เป็นแต้มต่อ ถ้าดีลไม่คุ้ม หรืออีกฝ่ายไม่ยอมตาม เขาพร้อมจะ “เท” การเจรจา เพื่อแสดงว่าเขาไม่กลัวความล้มเหลว

คำถามคือ รู้แล้งไงต่อ

คนสไตล์ “Art of the Deal” แบบนี้จริงๆ มันก็ พอมีวิธีรับมือนะ

1. อย่าเล่นตามเกมส์ (Don’t get emotional or reactive) คนแบบนี้มักใช้แรงกดดันให้เราเสียสมดุล เช่น ข่มขู่, เล่นใหญ่, บีบด้วยเวลา ถ้าเรา “ตกใจ” หรือ “โกรธ” เราจะพลาดง่าย ต้องใจเย็นและมีแผนที่ชัดเจน

2. รู้ให้ทันเกม (Understand their leverage and intention) มองให้ออกว่าเขาใช้แต้มต่ออะไร และเขาต้องการอะไรจริง ๆ บางทีเสียงดังหรือบีบเราแรง ๆ ก็เพื่อให้เรารีบยอมข้อเสนอที่เขาเตรียมไว้แล้ว ตกใจมาก เสียเปรียบ

3. มีจุดยืนของตัวเอง (Know your own BATNA)

มัคืออะไร BATNA = Best Alternative To a Negotiated Agreement = ถ้าไม่ตกลง ดีลที่เรายอมรับได้ที่สุดคืออะไร ต้องรู้จุดถอยและจุดที่ยอมไม่ได้ อันนี้ มัน art มาก ต้องคนเชี่ยวชาญ รู้เขารู้เรา แนวขงเบ้ง

4. ใช้ “ความนิ่ง” เป็นอาวุธ (Silence and patience are power) คนที่เร่งให้เราตัดสินใจทันที มักกลัว “ความนิ่ง” เพราะมันหมายถึงว่าเราไม่กลัว การนิ่งคือการ reclaim power

อย่าไปเร่งมาก อย่างคนด่ารัฐบาลไทยนี่ อย่าเพิ่ง ใจเย็น เสียหมา

5. โยนกลับด้วยคำถาม (Answer pressure with questions)

ถ้าเขาใช้ความกดดันใส่เรา ลองถามกลับ เช่น

“คุณว่าเงื่อนไขนี้แฟร์กับทั้งสองฝ่ายหรือไม่?”

“ถ้าเราไม่ตกลงหละ คุณจะมีทางเลือกอย่างไรไหม?”

วิธีนี้บีบ ทำให้เขาต้องคิดและเปิดไพ่ก่อน

6. อย่ากลัวที่จะ “เดินออกจากดีล” เหมือนเขา

ต้องกล้าแสดงให้เห็นว่า เราไม่จำเป็นต้องได้ดีลนี้ก็ได้ ถ้าเงื่อนไขไม่แฟร์ — เมื่อเขารู้ว่าเรา “ไม่กลัว” เกมจะเปลี่ยน

ลองศึกษา ประวัติ Trump ดูสิ ชักเข้าชักออกทั้งนั้น ใครเพลี้ยงพล้ำ เสร็จโก๋

โหดแท้ ไม่ธรรมดา

- อจ สุรัตน์

In Business, Psychology Tags Business, psychology
Comment

CMU x LeX Camp : เรียนรู้ Innovative Sustainability

Added on April 5, 2025 by Surattanprawate.

วันนี้มีโอกาสได้ไปร่วมงาน CMU LeX Camp 2025: Sustainable Innovation ที่จัดโดยน้อง ๆ จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU) ร่วมกับ Singapore Polytechnic ต้องขอบคุณ อาจารย์ภูวา ที่ชวนไปร่วมฟัง Industrial Talk สุดพิเศษครั้งนี้ บรรยากาศเต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์และไอเดียใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้น ได้มีโอกาสพูดคุยและแชร์เวทีกับ คุณแป๊ง จาก Dao Gift ซึ่งเป็น Social Enterprise ที่น่าสนใจมาก ๆ เพราะเขาไม่ใช่แค่ทำธุรกิจ แต่ยังมุ่งแก้ปัญหาสังคมผ่านแนวคิดที่ยั่งยืน ฟังแล้วรู้สึกได้ถึง passion และความตั้งใจจริง ๆ

งาน LeX Camp ครั้งนี้มีจุดเด่นที่ทำให้มันไม่เหมือนแคมป์ทั่วไปเลย สิ่งที่สะดุดใจคือ:

• การเรียนรู้ผ่านการลงพื้นที่ (Experiential Learning): ไม่ใช่แค่นั่งฟังในห้อง แต่ได้ออกไปสัมผัสปัญหาจริง ๆ ในชุมชน ลงมือทำจริง เห็นจริง

• การแก้ปัญหาสังคมด้วย Design Thinking: ใช้กระบวนการคิดแบบออกแบบที่ทั้งสร้างสรรค์และเป็นระบบ เพื่อหาคำตอบที่ตอบโจทย์ชุมชน

• การทำงานร่วมกันแบบนานาชาติ (Cross-Cultural Collaboration): ได้เห็นมุมมองหลากหลายจากเพื่อน ๆ ต่างชาติ อย่าง Singapore Polytechnic เปิดโลกสุด ๆ

• สร้างแนวคิด Social Enterprise จากปัญหาชุมชน: เปลี่ยน pain point ให้กลายเป็นโอกาส สร้างธุรกิจที่ทั้งได้กำไรและคืนประโยชน์ให้สังคม

ในช่วง Interactive Session 2 ชั่วโมงเต็ม บอกเลยว่าไม่น่าเบื่อเลย เพราะมีคำถามเจาะลึกจากน้อง ๆ และคำตอบที่ชวนให้คิดตามเยอะมาก มาดูกันว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง:

🙋‍♂️ สร้าง motivation ยังไงให้อยู่กับเราไปนาน ๆ?คำตอบที่ได้นี่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง:

1. หาเป้าหมายในชีวิตให้เจอ - มันเหมือนเข็มทิศ ถ้ารู้ว่าตัวเองอยากไปไหน การเดินทางจะมีพลังขึ้นทันที แล้วค่อย ๆ ก้าวไปตามนั้น ไม่ต้องรีบ แต่ต้องชัด

2. หาแรงบันดาลใจจากไอดอลหรือคำพูดดี ๆ - บางทีแค่ประโยคเดียว เช่น “ถ้าไม่เริ่มวันนี้ แล้วจะเริ่มวันไหน” ก็จุดไฟในใจให้ลุกโชนได้เลย

ลองนึกภาพตามนะ ถ้าเรามีเป้าหมายเป็นไฟนำทาง และมีคำพูดดี ๆ เป็นเชื้อเพลิง ชีวิตเราจะมีพลังแค่ไหน!

🙋‍♂️ ทำนวัตกรรมให้ยั่งยืน (Sustainable) ได้ยังไง?ที่นี่เขาให้มุมมองว่า Sustainability ไม่ใช่แค่คำสวย ๆ แต่ต้องมีระบบรองรับ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน:

• Innovation System: ระบบที่ทำให้ไอเดียใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้ต่อเนื่อง

• Business System: ระบบที่ทำให้มันอยู่รอดในเชิงธุรกิจได้จริง

• Social Sustainability System: ระบบที่คอยดูแลว่า สิ่งที่เราทำจะส่งผลดีต่อสังคมในระยะยาว

เหมือนการปลูกต้นไม้เลย ถ้าอยากให้มันโตและอยู่ได้นาน ต้องมีทั้งดินดี น้ำดี และแสงแดดที่เหมาะสม ไม่งั้นมันก็แค่ต้นไม้ชั่วคราว

🙋‍♂️ อะไรคือสิ่งที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมในมุมมองของอาจารย์?คำตอบคือ Community and Connection - การเชื่อมโยงกันระหว่างคนในชุมชนนี่แหละคือหัวใจสำคัญ เพราะนวัตกรรมที่ดีไม่ได้เกิดจากคน ๆ เดียว แต่มันเกิดจากการที่เราคุยกัน ระดมสมอง และช่วยกันแก้ pain point ของแต่ละฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นชุมชน ลูกค้า หรือแม้แต่ตัวเราเอง

ลองนึกถึงการต่อจิ๊กซอว์ ถ้าทุกชิ้นเชื่อมกันได้ลงตัว ภาพใหญ่ที่ออกมาก็จะสวยงามและสมบูรณ์

🙋‍♂️ เริ่มลงมือทำยังไงให้สำเร็จ?คำแนะนำคือ ลงมือเลย อย่ารอให้พร้อม - เริ่มจากเล็ก ๆ ก่อน แล้วปล่อยให้กระบวนการมันค่อย ๆ ถูกปรับแต่งไปตามทาง แต่ที่สำคัญคือ ต้องมีทีม เพราะไม่มีใครเก่งทุกอย่าง ทีมที่ดีเหมือนเกราะป้องกันและเครื่องขยายพลัง ช่วยให้เราไปได้ไกลกว่าที่คิด

เหมือนการเริ่มวิ่งมาราธอนน่ะ ไม่ต้องรีบสปรินต์ตั้งแต่ต้น แค่เริ่มก้าว แล้วหาเพื่อนร่วมทางดี ๆ สักคน สุดท้ายก็ถึงเส้นชัยได้

🙋‍♂️ ความท้าทายหลัก ๆ ที่เจอมีอะไรบ้าง?เขามองว่ามันมี 3 ระดับที่เราต้องเผชิญ:

1. World Level: โลกหมุนเร็วเหลือเกิน มีอะไรมาทำให้เราสะดุดได้ตลอด (Disrupt the Disruptor) ต้องตื่นตัว หูไวตาไว ตามให้ทัน

2. Business Level: การแข่งขันที่แท้จริงคือแข่งกับตัวเอง ต้องหา “น่านน้ำใหม่” อยู่เสมอ ความสำเร็จของเมื่อวานอาจไม่ใช่สูตรสำเร็จของวันนี้ ทุกผลิตภัณฑ์ ทุกธุรกิจ มีกุญแจของมันเอง

3. Personal Level: ท้าทายที่สุดคือตัวเราเอง อย่างที่ Peter Drucker เขียนไว้ใน Managing Oneself ว่าเราต้องรู้จักจัดการตัวเองให้ดี ทั้งชีวิตส่วนตัวและวิธีคิด ต้องหาจุดสมดุลให้เจอ

เหมือนการต่อสู้ 3 ด่านเลยเนาะ ด่านแรกคือโลกภายนอก ด่านสองคือธุรกิจ และด่านสุดท้ายคือใจเราเอง ถ้าผ่านทั้งหมดนี้ได้ นวัตกรรมที่เราทำก็จะยิ่งแข็งแกร่ง

2 ชั่วโมงในงานนี้ บอกเลยว่าได้อะไรกลับมาเต็มกระเป๋า ทั้งแรงบันดาลใจ ไอเดีย และมุมมองใหม่ ๆ ที่เอาไปใช้ได้จริง ใครที่สนใจเรื่องนวัตกรรมหรืออยากทำอะไรเพื่อสังคม ลองหาโอกาสมาร่วมงานแบบนี้ดูนะ ไม่ผิดหวังแน่นอน!

In Business, Creativity, startup, Talk Tags learning, teaching, event
Comment

PWR Framework: กรอบความคิดสร้างไอเดียง่ายๆ

Added on April 4, 2025 by Surattanprawate.

ไอเดีย...อยู่รอบตัวเราเสมอ

โลกเรามันหมุนด้วยอัตราเร็วเท่าเดิม นั่นคือทางกายภาพ แต่ตามความรู้สึกของเรา มันเร็วขึ้น สิ่งๆ ล้วนเปลี่ยนไปไว คนเก่งขึ้น สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงเร็ว คนรุ่นใหม่เต็มไปด้วยไอเดียเปลี่ยนแปลงโลก เราก็สงสัย เอ แล้วเค้าเอาไอเดียใหม่ ๆ มาสร้างสิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างไร มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ

จริงอยู่ที่ไอเดียอาจดูธรรมดา แต่เมื่อผ่านการวิเคราะห์ คิดใหม่ และลงมือทำ มันสามารถกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงระดับองค์กรหรือแม้กระทั่งสังคม

เรามันคนตัวเล็ก จะไปคิด ไปทำอะไรที่มันเปลี่ยนแปลงระดับมหึมาได้อย่างไร ?

แต่อย่าลืมคิดไปว่า คนที่ประสบความสำเร็จระดับเปลี่ยนแปลงโลกได้ ล้วนเริ่มจากการเป็นคนตัวเล็กทั้งนั้นแหละ

การเริ่มต้นง่ายๆ หาไอเดีย เพื่อแก้ปัญหาเดิม นั่นสำคัญ และนั่นคือที่มาของ PWR Framework — เครื่องมือ 3 ขั้นตอน จากทีมนวัตกรร MedCHIC ที่จะช่วยให้คุณ "เห็น", "เข้าใจ", และ "ลงมือ" กับไอเดียรอบตัว

P — Problem: มองเห็นปัญหาในชีวิตประจำวัน

จุดเริ่มต้นของไอเดียที่ดี คือปัญหาที่แท้จริง

Problem exploration

เราเจอปัญหาทุกวัน แต่เราอาจมองข้ามมันไป เพราะชินกับ “ทางเดิม” หรือ “ระบบที่เป็นอยู่”
PWR ชวนคุณถามตัวเองว่า:

1️⃣ What is the current problem?

ปัญหาปัจจุบันคืออะไร?
(คำอธิบายสถานการณ์หรือสิ่งที่ไม่เวิร์กในมุมของผู้ใช้/ลูกค้า/ทีม)

2️⃣ Who is affected & how?

ใครได้รับผลกระทบ และได้รับผลกระทบอย่างไร?
(เจาะว่าแต่ละ stakeholder ได้รับผลอย่างไร มี pain point หรือความเสี่ยงตรงไหน)

3️⃣ What assumptions are being made?

สมมติฐานที่เชื่อโดยไม่รู้ตัวมีอะไรบ้าง?
(สิ่งที่เราคิดว่า “ใช่” แต่ไม่เคยพิสูจน์ เช่น “ลูกค้าชอบแบบนี้อยู่แล้ว”

สิ่งเหล่านี้เราอาจรู้เองเมื่อมองไปรอบข้าง

เราอาจรู้โดยฟังเสียงบ่น

ไอเดียเริ่มจากปัญหาเสมอ เพราะไม่มีปัญหาเราก็ไม่รู้จะคิดไอเดียไปแก้อะไร

เมื่อคุณตั้งใจฟังโลก ไอเดียจะเริ่มก่อตัว

W — Why It’s Not Working?: วิเคราะห์ความล้มเหลว (เจาะลึกสาเหตุ)

สิ่งที่มีอยู่ในวันนี้ ไม่ได้แปลว่าคือ “คำตอบที่ดีที่สุด”

นี่คือจุดที่คุณเริ่มตั้งคำถามกับระบบเดิม วิธีเดิม หรือผลิตภัณฑ์เดิม:

4️⃣ What solutions have failed?

แนวทางหรือเครื่องมือเดิมที่เคยลองแล้วไม่สำเร็จคืออะไร?
(ใช้ได้แต่ไม่ตอบโจทย์ ใช้แล้วไม่มีผล ใช้แล้วซับซ้อนเกินไป)

5️⃣ What are the hidden obstacles?

ข้อจำกัดหรืออุปสรรคที่ซ่อนอยู่คืออะไร?
(วัฒนธรรมองค์กร ข้อมูลไม่พร้อม เวลาไม่พอ ทีมไม่เข้าใจ ฯลฯ

6️⃣ What is the root cause behind the failure?

สาเหตุเชิงลึก (รากของปัญหา) คืออะไร?
(มองแบบระบบ ว่าอะไรคือต้นตอ: mindset, policy, process, incentive ฯลฯ)

"Every breakthrough begins with a simple question: 'Why not?'"

Micheal Siebel กล่าวว่า “เราไม่สามารถแก้ปัญหาเดิมได้ด้วยวิธีแบบเดิม”

ทางแก้อาจไม่ถูกกับปัญหาจริงๆ

หรือไม่ มันก็ใช้เวลามากเกินไปและติดข้อจำกัด

R — Reframe & Reimagine: เปลี่ยนมุม คิดใหม่ สร้างใหม่

เมื่อคุณเปลี่ยนคำถาม — โลกก็จะเปลี่ยนตาม

การเปลี่ยนมุมมองของปัญหา (Problem Reframe) จะนำไปสู่การสร้างไอเดียแก้ปัญหาใหม่ (Reimagine)

Section 3: Reframe & Re-creation – พลิกมุมและสร้างสรรค์แนวทางใหม่

7️⃣ New Problem Statement (Reframe)

เมื่อนิยามใหม่ ปัญหาจริงคืออะไร?
(เขียนใหม่ให้เฉียบขึ้น โฟกัสสิ่งที่ควรแก้จริง ๆ)

8️⃣ How Might We...? (HMW)

เราจะทำอย่างไรเพื่อ...?
(ตั้งคำถามปลายเปิด เพื่อจุดประกายไอเดีย เช่น “เราจะทำอย่างไรเพื่อให้ลูกค้าเล่า pain point ด้วยความสบายใจ?”)

9️⃣ New Ideas / Re-creation

แนวคิด / Prototype / ทางออกใหม่ที่สามารถลองได้
(อาจมีหลายไอเดียก็ได้ เช่น เทคโนโลยีใหม่ กระบวนการใหม่ หรือการออกแบบใหม่)

การ Problem Reframe คืออะไร

“Problem Reframing คือกระบวนการมองปัญหาจากมุมมองใหม่ เพื่อให้เข้าใจปัญหาได้ลึกซึ้งขึ้น หรือค้นพบแนวทางแก้ไขใหม่ ๆ แทนที่จะรีบหาทางแก้ทันทีเมื่อพบปัญหา”

เราควรก้าวถอยหลังและตั้งคำถามว่า:

• นี่คือปัญหาที่แท้จริงหรือไม่?

• เราสามารถนิยามปัญหานี้ในรูปแบบอื่นได้ไหม?

• มีสมมติฐานใดที่เรายึดถืออยู่โดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจจำกัดความคิดของเราหรือไม่?

ซึ่งการ Reframe จะนำไปสู่การคิดทางแก้ใหม่ (Reimagine) และ นั่นคือจุดเริ่มต้นของนวัตกรรม

จาก Reframe -> Reimagine

• ช่วยเปิดความคิดสร้างสรรค์

• ป้องกันการแก้ปัญหาที่ไม่ใช่ต้นตอที่แท้จริง

• ทำให้เห็นสาเหตุที่แท้จริง ไม่ใช่แค่แก้แค่ปลายเหตุ

• เปิดโอกาสให้พบแนวทางแก้ไขที่หลากหลายมากขึ้น

มาดูตัวอย่างกันดีกว่า:

ปัญหาเดิม:

“คนไม่ใช้บันได คนใข้แต่ลิฟต์”

Reframe problem

เรามองปัญหา คือ การขึ้นบันได ต้องออกแรง คนขี้เกียจ และน่าเบื่อ และต้องใช้เวลา

“เราจะทำอย่างไรให้คนใช้บันไดแทนลิฟต์มากขึ้น?”

Reimagine

“เราจะทำอย่างไรให้การขึ้นบันไดเป็นเรื่องสนุกหรือน่าจูงใจมากขึ้น?”

การเปลี่ยนมุมมองแบบนี้อาจนำไปสู่ไอเดียใหม่ ๆ เช่น บันไดดนตรี หรือระบบสะสมแต้มเมื่อใช้บันได

ไอเดียเล็ก ๆ อาจดูไม่มีน้ำหนักในตอนแรก แต่ถ้าได้ลงมือสร้าง ทดลอง ปรับ และเล่าให้คนอื่นฟัง — มันอาจกลายเป็นสิ่งที่โลกต้องการ

ไอเดียอยู่ทุกที่... แล้วคุณจะทำยังไงกับมัน?

ไอเดียไม่ต้องยิ่งใหญ่ — แต่มันต้อง “ขยับ” ได้

บางครั้งไอเดียที่ดีที่สุดไม่ใช่สิ่งใหม่ล้ำโลก แต่คือการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ตรงจุด เจาะปัญหา และเกิดจากความเข้าใจผู้ใช้จริง

กรอบคิด PWR ช่วยให้คุณ:

  • เห็นปัญหาแบบที่ไม่เคยมอง

  • ตั้งคำถามกับสิ่งที่คนอื่นมองข้าม

  • สร้างสิ่งใหม่จากมุมที่ยังไม่มีใครเคยลอง

Make It. Change It. Start Now.

ถ้าคุณมีไอเดีย — ลงมือสร้างมัน
ถ้าคุณเห็นปัญหา — กล้าท้าทายมัน
ถ้าคุณอยากเปลี่ยนอะไร — เริ่มจากคำถามที่ดีกว่าเดิม

“You can't use up creativity. The more you use, the more you have.” — Maya Angelou

วันนี้...คุณอยาก “สร้าง” หรือ “เปลี่ยน” อะไรในโลกของคุณ?

In Business, Creativity, Innovation, startup Tags Innovation, startup
Comment

กฎ 1 ชั่วโมงของเจฟฟ์ เบโซส: เรื่องเล่าจากเช้าที่ทำให้สมองฉลาดขึ้น

Added on April 3, 2025 by Surattanprawate.

เราคิดว่า เจฟฟ์ เบโซส มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งแอมะซอน ตอนเช้าเขาทำอะไร เราอาจจินตนาการว่า เขาตื่นขึ้นมา ต้องตอบ email ที่คั่งค้าง มาคลี่ตาราง to do list สำหรับนัดหมายประจำวัน อ่านข่าวหุ้นที่วิ่งขึ้นลงไปตาม graph ไหม นั่นก็เป็นเช้าที่เราเห็น business man ทำกันเป็นประจำนี่

เเต่เปล่าเลย เขาไม่ได้ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงนาฬิกาปลุกดังสนั่นแล้วคว้าโทรศัพท์เพื่อเช็คอีเมลทันทีเหมือนซีอีโอหลายคน เขาใช้เวลาในตอนเช้า “เดินเตร็ดเตร่” ใช่เล้ว “เดินเตร็ดเตร่” หากใครไม่ว่าเดินเตร็ดเตร่คืออะไร ให้ลองจินตนาการว่า เราไปสัมภาษณ์งานแล้วโดนปฎิเสธ มันไวกว่าที่คิด รถเมล์ที่รอกลับบ้านก็ต้องใช้เวลาอีกกว่า ชั่วโมง เดินไปเรื่อย ๆ ดีกว่า นั่นแหละ เตร็ดเตร่ มองชมนก ชมไม้ ชมอะไรรอบ ๆ ตัว ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องมีจุดหมายเยอะ

นอกจากนี้ เขายังจิบกาแฟอุ่นๆ พลิกอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับกระดาษ และพูดคุยกับครอบครัวอย่างไม่เร่งรีบ โดยมีกฎเหล็กข้อหนึ่ง: ห้ามแตะโทรศัพท์ในชั่วโมงแรกของวัน

ในปี 2561 เบโซสเล่าเรื่องนี้ในงานปาฐกถาที่ Economic Club of Washington เขากล่าวว่า “ผมชอบใช้เวลาช่วงเช้าแบบช้าๆ มันให้พลังงานและทำให้ผมตัดสินใจได้เฉียบคมตลอดทั้งวัน” ล่าสุด ลอเรน ซานเชซ คู่หมั้นของเขา ยืนยันกับ People ว่า “เราไม่แตะโทรศัพท์เลยจริงๆ นั่นคือกฎที่เราใช้” สิ่งที่ดูเหมือนเป็นแค่ความชอบส่วนตัวนี้ กลับมีรากฐานจากวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่น และงานวิจัยล่าสุดพิสูจน์ว่าเขาคิดถูก

สมองเปลี่ยนชีวิตเมื่อเจอหน้าจอมากเกินไป

ลองนึกถึงเช้าวันธรรมดาของคุณ คุณตื่นมาแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูโซเชียลมีเดียทันที มันอาจรู้สึกสนุก แต่ถ้าทำแบบนี้ทุกวันล่ะ? มันกลายเป็น habit พฤติกรรมที่เปลี่ยนสมอง สุขภาพและร่างกาย แน่นอนว่า มันกระทบชิ่งไปยังชีวิตกระจำวันอื่น ๆ เหมือนโดมิโน

Maris Loeffler จาก Stanford Lifestyle Medicine Program เตือนว่า “ถ้าคุณเลื่อนโทรศัพท์บนเตียงแค่ชั่วโมงเดียวในเช้าวันเดียว ผลกระทบอาจไม่มาก แต่ถ้ามันกลายเป็นนิสัย วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า มันจะทำร้ายคุณได้”

การศึกษาใน UK Biobank ปี 2566 ติดตามผู้ใหญ่ประมาณ 473,184 คน ที่เริ่มแรกไม่มีภาวะสมองเสื่อม พาร์กินสัน หรือซึมเศร้า โดยใช้แบบจำลอง Cox proportional hazards regression พบว่าการดูหน้าจอที่มากเกินไป (4+ ชั่วโมง/วัน) เพิ่มความเสี่ยงต่อสมองเสื่อม 28% ซึมเศร้า 35% และพาร์กินสัน 16%

นอกจากผลต่อสมอง การใช้หน้าจอมากเกินไปยังเชื่อมโยงกับอาการปวดตา การนอนไม่หลับ และปวดหลัง Loeffler เปรียบเทียบการใช้หน้าจอแบบเฉยๆ ว่า “เหมือนกินน้ำตาลให้สมอง มันอร่อยแต่ไม่มีสารอาหาร” และถ้าคุณเริ่มวันด้วย “น้ำตาล” แทน “อาหารเช้าที่ดี” สมองของคุณจะอ่อนล้าตั้งแต่เช้า

กฎ 1 ชั่วโมง

เบโซสอาจไม่ได้อ่านงานวิจัยเหล่านี้ตอนที่เขาตั้งกฎให้ตัวเอง แต่สิ่งที่เขาทำสอดคล้องกับคำแนะนำจาก Stanford Lifestyle Medicine Program ที่ระบุว่า “งดใช้หน้าจอในชั่วโมงแรกของวัน” แล้วเราควรทำอะไรแทน? นี่คือทางเลือก ที่ แนะนำ

* ออกกำลังกาย - การศึกษาใน Journal of Applied Physiology ปี 2563 พบว่าการออกกำลังกายตอนเช้า 30 นาทีเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง 20% ช่วยให้ตื่นตัวและจดจำได้ดีขึ้น

* นั่งสมาธิ - งานวิจัยจาก Mindfulness ปี 2562 แสดงว่าการนั่งสมาธิ 10 นาทีลดระดับคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) ลง 25% ทำให้สมองปลอดโปร่ง

* อ่านหนังสือ - การศึกษาใน Cognitive Science ปี 2564 พบว่าการอ่านหนังสือกระดาษ 15 นาทีช่วยเพิ่มสมาธิได้ดีกว่าการเลื่อนโทรศัพท์ถึง 30%

ชีวิตเรามีใหม่ได้ทุกวัน การเริ่มวันแบบช้าๆ คือการลงทุนในตัวเอง นะครับ

#ชีวิตเช้า #กฎ1ชั่วโมง

In Business, Innovation, startup, Talk Tags Innovation, startup, Business, innovator
Comment

7 เทคนิคประชุมทีม ไม่ให้มีแต่ “ตัวกี้กี้”

Added on March 24, 2025 by Surattanprawate.

ตัวกีกี้ มันน่ารำคาญ ร้องกีกี้ กีกี้ มาตายแทนหัวหน้า ไม่มีประโยชน์อะไรเลย พวกกระบวนการ shocker ที่มีแต่ตัวกีกี้

ในการประชุมสภาของประเทศไทย มีแต่ “ตัวกีกี้” องครักษ์พิทักษ์หัวหน้า ประท้วงกันไร้สาระ จับประเด็นไม่ได้ เต็มไปหมด เนื้อหามีแต่พร้อมพลีกาย ถวายหัวให้ได้ scene มันก็จะมีแต่เสียง “กีกี้ กีกี้ กีกี้” เต็มไปด้วยตัวคั่นเวลา ไม่ว่าจะฝ่ายไหน เห็นทีไร ก็แบบนี้บ่อยมาก

ในหลาย ๆ ที่ประชุม บางทีก็เต็มไปด้วย “ตัวกี้กี้” เหมือนกัน ทำให้เมื่อครบเวลา เฮ้ย สรุปเนื้อหาเป็นไงวะเนี่ย — ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย

แต่ในวงการธุรกิจสตาร์ทอัพ ผู้ก่อตั้ง ต้องเร่งพลัง ทำให้การประชุมทีมไม่ใช่แค่พิธีกรรม แต่เป็นพื้นที่สำคัญที่ไอเดียใหม่ๆ จะถูกผลักดัน ปัญหาจะถูกคลี่คลาย และทิศทางของทีมจะถูกกำหนดร่วมกัน

ในโลกของสตาร์ทอัพ วันนี้มาคุยกันว่า เราจะ conduct งานประชุมอย่างไร ไม่ให้คนที่มีส่วนร่วม ไม่ใช่ตัวกีกี้

7 ข้อคิดประชุมทีมสตาร์ทอัพ ไม่ให้เต็มไปด้วย “ตัวกี้กี้”

ในการประชุมทีมสตาร์ทอัพ เราไม่ได้ต้องการแค่เสียงให้ห้องดูมีชีวิต แต่ต้องการ ความคิดที่นำไปสู่การตัดสินใจและการลงมือทำ
เพื่อลดบทบาทของ “ตัวกี้กี้” — คนที่พูดเยอะแต่ไม่สร้างคุณค่า — ลองใช้ 7 แนวทางนี้

1. เริ่มประชุมด้วย “เป้าหมายชัดๆ”

เปิดประชุมด้วยคำถาม: “วันนี้เราจะออกจากห้องนี้ไปพร้อมอะไร?”

ไม่ใช่แค่ประชุมให้ครบ แต่ประชุมให้ เกิดผลลัพธ์
เป้าหมายชัด = ทุกคนมีทิศทางร่วม

2. ให้บทบาทชัดเจนกับผู้เข้าร่วม

ตอบให้ได้ว่าใครเป็น “ผู้ตัดสินใจ / ผู้ให้ข้อมูล / ผู้ลงมือ / ผู้ฟัง”

คนที่ไม่มีบทบาทไม่ควรถูกบังคับให้อยู่ในห้อง หรือสามารถรับรู้ผ่านสรุปภายหลังได้

3. ผู้นำประชุมสำคัญที่สุด

เพราะ “การประชุมที่ดี” มักมาจาก “การเตรียมตัวที่ดี”

หน้าที่ของผู้นำประชุม:

  • ตั้งเป้าให้ชัด

  • คุมจังหวะให้กระชับ

  • ดึงคนเงียบให้พูด

  • เบรกคนพูดเยอะให้เข้าเรื่อง

  • สรุปและส่งไม้ต่อให้ชัดเจน

อย่าปล่อยให้ห้องประชุมถูกยึดโดยคนเสียงดังแต่ไร้ทิศทาง

4. พูดเพราะ “คิดแล้ว” ไม่ใช่เพราะ “ต้องพูด”

อย่าเปล่งเสียงเพื่อความอยู่รอด

Startup ต้องการ Idea ที่นำไปใช้ได้จริง ไม่ใช่ “คอมเมนต์ที่ไม่มีวันต่อยอด”

5. ให้เวลาคิดก่อนพูด

ใช้หลัก “Think–Write–Speak”
ให้ทุกคนจดความคิดก่อน แล้วจึงแชร์

ช่วยให้ไอเดียมีคุณภาพ ลดการพูดแบบน้ำท่วมทุ่ง

6. เคารพเวลา = เคารพทีม

เวลาในสตาร์ทอัพคือทรัพยากรที่แพงที่สุด

การพูดนอกเรื่อง การลากยาว การพูดซ้ำซาก = เบิร์นพลังของทีมแบบไร้ค่า

7. สรุปชัด ใครทำอะไรต่อ

“ประชุมที่ดี = ทุกคนรู้ว่าต้องทำอะไรหลังจากนี้”

ไม่มี Action ไม่มี Owner = เสียเวลาเปล่า

สรุปสั้นๆ:

"ห้องประชุมไม่ใช่เวทีคั่นเวลา"
ถ้าคุณแค่พูดแต่ไม่คิด = “ตัวกี้กี้”
ถ้าคุณนำประชุมไม่เป็น = “ปล่อยทีมล่องลอย”
ถ้าอยากสร้างทีมที่ขับเคลื่อนจริง ต้องประชุมแบบมีคุณภาพ ไม่ใช่แค่ครบคน

In Business, Innovation, startup, สาระสมอง Tags Innovation, startup
Comment

Pivot or Die: นวัตกรรมต้องเปลี่ยนได้ ไม่งั้นก็ต้องตายไป

Added on March 23, 2025 by Surattanprawate.

“บางครั้งผมก็อายม้วนที่จะพูดถึงหน้าตาของ product ดั้งเดิมที่ล้มไม่เป็นท่า ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง เราต่างจำวันนั้นได้”

ในวงการนวัตกรรม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เล่าไปยิ้มไป ในฐานะผู้ก่อตั้ง ที่เมื่อประสบความสำเร็จ เบื้องหลังจะต้องเต็มไปด้วยรอยแผล แต่ 90% จะไม่มีโอกาสมาพูดแบบนี้ เพราะจะหายไปใน 3 ปี

Eric Ries ผู้เขียน The Lean Startup คัมภีร์แห่งนวัตกรรม กล่าวไว้ว่า

“Pivot คือการเปลี่ยนกลยุทธ์โดยไม่เปลี่ยนวิสัยทัศน์”

นี่คือคำที่ทรงพลัง มุมมองระยะยาว เราไม่ได้เปลี่ยนไป เราเปลี่ยนวิธีไปให้ถึงสิ่งนั้นมากกว่า

Pivot รากของคำมาจากจุดเปลี่ยนสงคราม

คำว่า "Pivot" มีรากมาจากภาษาฝรั่งเศส ซึ่งแปลว่า จุดศูนย์กลางหรือหมุดที่สิ่งของหมุนอยู่บนนั้น โดยดั้งเดิมใช้ในทางทหาร หมายถึงการเคลื่อนพลไปรอบๆ จุดศูนย์กลางเพื่อเปลี่ยนทิศโดยยังรักษากลยุทธ์หลักไว้ แนวคิดนี้ต่อมาได้ถูกนำมาใช้ในโลกธุรกิจเพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ขององค์กรหรือผลิตภัณฑ์ที่ยังยึดโยงกับวิสัยทัศน์หลัก

The Pivot Upon Which Everything Turned

หนึ่งในตัวอย่างแรกๆ ของการ Pivot ทางธุรกิจคือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงงานผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ เปลี่ยนสายการผลิตจากรถยนต์มาเป็นรถถังและเครื่องบินภายในเวลาอันสั้น การเปลี่ยนทิศทางนี้ไม่เพียงสนับสนุนการสงครามเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงพลังของการปรับทรัพยากรและจุดโฟกัสเพื่อตอบสนองความจำเป็นเร่งด่วน

ในโลกธุรกิจยุคใหม่ Pivot กลายเป็นแนวคิดสำคัญในทฤษฎีนวัตกรรม โดยเฉพาะในแนวทาง Lean Startup ที่เน้นความเร็ว การทดลอง และการเรียนรู้จากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

เหตุผลเชิงกลยุทธ์: เมื่อไรและทำไมต้อง Pivot

รายงานจาก CB Insights ที่วิเคราะห์ปัจจัยล้มเหลวของสตาร์ทอัป 111 ราย พบว่า 35% ล้มเหลวเพราะ “ไม่มีความต้องการในตลาด” ซึ่งชี้ให้เห็นว่า การรู้ว่าควร Pivot เมื่อใด ไม่ใช่แค่กลยุทธ์ แต่คือ “ความอยู่รอด”

Pivot ที่เกิดขึ้นอย่างถูกเวลา มักเป็นผลจากการรับฟังลูกค้า การเปลี่ยนแปลงของตลาด หรือเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนเกม ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Netflix ซึ่งเริ่มจากธุรกิจเช่าดีวีดีทางไปรษณีย์ และ Pivot มาสู่การสตรีมมิ่งโดยล่วงหน้าก่อนตลาดจะเปลี่ยน จนกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม

Innovation Pivot คือการใช้จุดแขนงขององค์กรสร้างสิ่งใหม่อย่างแท้จริง จนบางครั้งสร้างอุตสาหกรรมใหม่หรือเปลี่ยนตลาดไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่เพียงเพื่อเอาตัวรอด แต่เพื่อ "วิวัฒน์"

“ผมเคยคุยกับ startup รายหนึ่ง เค้าประสบความสำเร็จในวันนี้ วันที่เป็นปีที่ 3 ของการก่อตั้ง startup และเค้าก็บอกว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เค้าวนปรับเปลี่ยนหน้าตาผลิตภัณฑ์ไปเกือบร้อยครั้ง”

สติปัญญาทางอารมณ์ในช่วง Pivot

Pivot ไม่ใช่แค่เรื่องของกลยุทธ์ แต่เกี่ยวข้องกับ “อารมณ์” อย่างลึกซึ้ง ต้องอาศัยความถ่อมตนเพื่อยอมรับว่าสิ่งที่ทำอยู่อาจไม่เวิร์ก และความกล้าหาญที่จะเริ่มทดลองใหม่

Adam Grant นักจิตวิทยาองค์กรกล่าวไว้ว่า

“สัญลักษณ์ของคนเปิดใจ คือการไม่เอาความคิดของตัวเองไปผูกกับตัวตนของเรา”

องค์กรที่มีความถ่อมตนทางปัญญา มัก Pivot ได้ก่อนที่วิกฤตจะมาถึง และถือเป็น “ความคล่องตัวทางอารมณ์” ที่สำคัญพอๆ กับความฉลาดทางตลาด

บทบาทของข้อมูลและ Feedback

Pivot ยุคใหม่ขับเคลื่อนด้วย “ข้อมูล” และ “ลูกค้า” ตามแนวทาง Lean Startup ที่เน้น MVP (Minimum Viable Product) และการเรียนรู้จากผู้ใช้จริง

Spotify คือกรณีศึกษาในเรื่องนี้ โดยมีการ Pivot ย่อย (micro-pivots) อย่างต่อเนื่อง ทั้งใน UI และอัลกอริธึม เพื่อยกระดับประสบการณ์โดยไม่แตะโครงสร้างหลัก

รายงานจาก McKinsey ระบุว่า บริษัทที่ใช้ Customer Analytics อย่างจริงจังมีโอกาสชนะคู่แข่งด้านการหาลูกค้าใหม่มากถึง 23 เท่า ยืนยันว่า “การฟังตลาด” สำคัญกว่าการดันทุรังกับวิสัยทัศน์ที่หมดอายุ

Pivot กระบวนการที่เล่นกับอารมณ์และความหลงรัก product ตัวเอง

ทั้งที่ทุกคนที่ทำนวัตกรรมรู้ว่า ต้องเปลี่ยนแปลง อาจไม่มาก หรืออาจจะมากจนต้องทุบทิ้งผลิตภัณฑ์สุดรักของตัวเอง กระบวนการ Pivot กลายเป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญที่สุดของผู้นำ

บางครั้งการ Pivot มันเป็นการทำลายความฝัน หรือผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ตัวเองรัก แต่นั่นมันคือทางรอด ซึ่งผู้ก่อต้ังต้องเลือกเอาว่าจะรักผลิตภัณฑ์ตัวเองที่ไม่มีอนาคต หรือ รักลูกค้า คนที่ใช้นวัตกรรมของคุณกันแน่

In Business, Innovation, startup Tags Innovation, startup
Comment

น้ำหนักของสิ่งที่ผ่านไป: ทำไม 90% ของความเสียใจจึงเกิดจากอนาคตที่ยังไม่มาถึง

Added on March 22, 2025 by Surattanprawate.

"คำพูดที่เศร้าที่สุดในโลกอาจเป็นเพียงคำว่า ‘มันอาจจะเป็นไปได้’" — John Greenleaf Whittier

ความเสียใจคือประสบการณ์ร่วมของมนุษย์ แต่กลับเป็นสิ่งที่เราเข้าใจผิดอยู่เสมอ หลายคนคิดว่าความเสียใจเกิดจากอดีต—จากความผิดพลาด โอกาสที่พลาดไป หรือความสัมพันธ์ที่จบลง ทว่าในความเป็นจริง น้ำหนักที่แท้จริงของความเสียใจ อาจไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่อยู่ที่ “อนาคต” ที่เราคิดว่าเราได้สูญเสียไปต่างหาก

แม้ความเสียใจเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้และเป็นธรรมชาติของสิ่งมีขีวิต แต่บางครั้ง มันกลับดึงเราให้ตกหลุมลึกที่หาทางขึ้นไม่เจอ และวิ่งอยู่ในวังวนของความเสียใจ ซึ่งอาจทำให้เสียช่วงเวลาของชีวิตเราไปอย่างน่าเสียดาย เราจึงควรเรียนรู้ จิตวิทยาแห่งความเสียใจ ไว้เป็นเกราะป้องกันตัวเองและสร้างเกราะให้คนที่เรารัก

จิตวิทยาของความเสียใจ: อารมณ์ที่มองไปข้างหน้า

แม้โดยผิวเผิน ความเสียใจจะดูเหมือนเป็นอารมณ์ที่หวนคิดถึงอดีต แต่งานวิจัยทางจิตวิทยากลับพบว่า ความเสียใจนั้นมีลักษณะ “มองไปข้างหน้า”

Neal Roese นักจิตวิทยา ที่มีงานเรื่องความเสียใจ >> wiki https://en.wikipedia.org/wiki/Neal_Roese

จากการศึกษาโดย Neal Roese นักจิตวิทยาชั้นนำในปี 2005 ชี้ให้เห็นว่า ความเสียใจไม่ได้เกิดจากการคิดวนเวียนกับอดีตเท่านั้น แต่เป็นการ “จินตนาการว่าอดีตควรจะนำไปสู่ปัจจุบันหรืออนาคตที่ดีกว่านี้” กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันคือการคิดแบบ “ถ้าตอนนั้นฉัน…” ซึ่งเป็นการสร้างภาพอนาคตทางเลือกที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง

ข้อมูลจาก สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ยังระบุว่า ความเสียใจมักจะมาพร้อมกับความวิตกกังวล ความกลัว หรือความเศร้า ซึ่งไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ในอดีตโดยตรง แต่เกิดจากสิ่งที่เราคิดว่า “มันน่าจะเกิดขึ้นได้” ในอนาคตต่างหาก

กับดักของความคิด: การหลงไปกับอนาคตที่ไม่มีอยู่จริง

จิตวิทยาการรู้คิด (Cognitive Psychology) บอกเราว่า ความเสียใจรุนแรงขึ้นเพราะกระบวนการคิดบางแบบ เช่น

  • การคิดแบบหายนะ (Catastrophizing): มองผลลัพธ์แย่ๆ ว่าร้ายแรงเกินจริง

  • การอุดมคติ (Idealization): มองอนาคตที่ไม่ได้เกิดขึ้นว่า “สมบูรณ์แบบ”

หนังสือ mode สำหรับการคิดเร็วและช้า โดย Daniel Kahneman

ในหนังสือ Thinking, Fast and Slow นักเศรษฐศาสตร์และนักจิตวิทยา Daniel Kahneman อธิบายว่า มนุษย์มีแนวโน้มจะ “กลัวการสูญเสีย” มากกว่าชื่นชมสิ่งที่ได้มา เราจึงรู้สึกเจ็บปวดกับ “อนาคตที่ไม่เกิดขึ้น” มากกว่าการยอมรับปัจจุบันที่มี

เช่น คนที่เสียใจที่ไม่เลือกเส้นทางอาชีพหนึ่งในอดีต จริงๆ แล้วเขาไม่ได้เสียใจแค่เรื่องการตัดสินใจ แต่กำลังโศกเศร้ากับ “ตัวตนที่เขาเชื่อว่าเขาน่าจะได้เป็น” ซึ่งล้วนมาจากจินตนาการทั้งสิ้น

เรื่องเล่าที่เตือนใจ: ความเสียใจจากอนาคตที่ไม่มีอยู่จริง

ลองฟังเรื่องของ เอล นักดนตรีผู้มีพรสวรรค์ เธอเคยได้รับโอกาสไปเรียนต่อเมืองนอก แต่เธอปฏิเสธไป 20 ปีผ่านไป เธอไม่ได้เสียใจกับใบสมัครที่ไม่ได้ส่ง หรือเครื่องบินที่ไม่ได้ขึ้น แต่เสียใจกับ “ตัวเองที่น่าจะเป็น” — ศิลปินชื่อดัง ผู้เดินทางไปทั่วโลก

หรือเรื่องของ มาร์ก ผู้เลิกกับคนรักเพราะกลัวการผูกมัด แม้วันนี้เขาจะแต่งงานมีความสุขแล้ว แต่บางครั้งก็ยังรู้สึกเสียใจ ไม่ใช่เพราะอยากย้อนเวลากลับไป แต่เพราะเขาสงสัยว่า “ชีวิตจะเป็นอย่างไรถ้าเลือกอีกทางหนึ่ง”

คำกล่าวของ Steve Jobs ก็เตือนสติเราไว้ว่า:
"เวลาของคุณมีจำกัด อย่าใช้มันไปกับการใช้ชีวิตตามแบบของคนอื่น อย่าติดอยู่กับกรอบความคิดที่ไม่ได้เป็นของคุณ"
ความเสียใจหลายอย่างไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราต้องการจริงๆ แต่มาจากสิ่งที่สังคมหรือคนรอบตัวคาดหวังให้เราเป็น

แนวโน้มของความเสียใจ: ผู้คนเสียใจกับอะไรที่สุด

งานวิจัยของ Thomas Gilovich และ Victoria Medvec แห่งมหาวิทยาลัยคอร์แนล พบว่า ผู้คนมักเสียใจกับ “สิ่งที่ไม่ได้ทำ” มากกว่าสิ่งที่ทำไปแล้ว

เหตุผลก็คือ การไม่ลงมือทำอะไรเลย เปิดโอกาสให้เราคิดไปได้ไม่มีที่สิ้นสุดว่า “มันน่าจะออกมาดีแค่ไหน” ขณะที่สิ่งที่เราทำไปแล้ว มีผลลัพธ์ชัดเจนให้เห็น

งานวิจัยยังเชื่อมโยงความเสียใจกับปัญหาทางสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้า ความเครียดเรื้อรัง และการตัดสินใจที่ไม่ดีในอนาคต มันยังทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “การปิดเรื่องราวชีวิต” (Narrative Foreclosure) — การที่คนๆ หนึ่งเชื่อว่า ชีวิตของเขาจบแล้ว เปลี่ยนอะไรไม่ได้อีกต่อไป

วงจรความเสียใจ: จะหลุดพ้นได้อย่างไร

แล้วเราจะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้ความเสียใจฉุดรั้งชีวิตไว้?

1. คิดกลับอีกด้าน (Counter-Counterfactual Thinking):
ไม่ใช่แค่คิดว่า “มันน่าจะดีกว่านี้” แต่ลองคิดว่า “มันอาจจะแย่กว่านี้ก็ได้” วิธีนี้ช่วยฝึกใจให้รู้สึกขอบคุณกับปัจจุบัน

2. ถามตัวเองว่าเสียใจเพราะอะไร:
เสียใจเพราะเราอยากทำจริงๆ หรือเพราะใครๆ ก็บอกว่าควรทำ? บ่อยครั้งความเสียใจเกิดจากการไม่เป็นตามความคาดหวังของคนอื่น ไม่ใช่ของตัวเราเอง

3. เปลี่ยนความเสียใจให้เป็นพลัง:
Victor Frankl นักจิตวิทยาและผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกัน เคยกล่าวว่า “เมื่อความทุกข์มีความหมาย มันก็จะไม่ใช่ความทุกข์อีกต่อไป”
เราสามารถใช้ความเสียใจเป็นแรงผลักดันในการสร้างชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม

อนาคตไม่ใช่คำตัดสิน

ความเสียใจไม่ใช่แค่เงาสะท้อนของอดีต แต่มันคือภาพสะท้อนของ “อนาคตที่ไม่ได้เกิดขึ้น” แต่แทนที่เราจะปล่อยให้อนาคตที่ไม่เป็นจริงนั้นมาหลอกหลอน เราสามารถเปลี่ยนมันเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างชีวิตใหม่ในวันนี้

ให้ความเสียใจมีความหมาย เป็นแรงผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้านะครับ

-อจ สุรัตน์

In Life, Philosophy, Psychology, สาระสมอง Tags psychology
Comment

ยิ่งผิดพลาดยิ่งเรียนรู้ : การทดลองในชีวิตจริง ทำให้ฉลาดและสำเร็จ

Added on March 22, 2025 by Surattanprawate.

คนที่สำเร็จมักมีบาดแผลแห่งการเรียนรู้ข้างหลังทั้งนั้น trial and error เหมือนเป็นสูตรสำเร็จ ที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง มันเหมือนม่านที่บิดบังความสำเร็จเอาไว้ และคนกลับเฉลิมฉลองกับการทำงานไม่ผิดพลาด นั่นทำให้คนที่อยู่ในกรอบ และ mindset ที่บอกว่า ความผิดคือสิ่งที่ยอมรับได้ยาก กลับย่ำกับที่

สมองของมนุษย์มีกลไกที่ซับซ้อนและทรงพลังในการเรียนรู้ โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับความผิดพลาด การค้นพบล่าสุดจากประสาทวิทยาศาสตร์เผยให้เห็นว่า ความผิดพลาดไม่เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ แต่ยังเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ช่วยเร่งการพัฒนาความสามารถและความฉลาด บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับกลไกของสมอง พร้อมทั้งเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้ในบริบทที่เป็นรูปธรรม เช่น การศึกษา องค์กร และการพัฒนานวัตกรรม

กลไกทางประสาทวิทยาของการเรียนรู้จากความผิดพลาด

สมองถูกออกแบบมาให้ตอบสนองต่อความผิดพลาดอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ งานวิจัยจาก Johns Hopkins University ในปี 2024 เผยว่า การเรียนรู้ที่มีนัยสำคัญสามารถเกิดขึ้นได้ภายใน 20-40 การทดลอง โดยไม่จำเป็นต้องฝึกซ้ำนับร้อยครั้ง

กระบวนการนี้เกิดขึ้นใน สมองส่วนคอร์เทกซ์รับความรู้สึก (Sensory Cortex) ซึ่งเดิมมีบทบาทหลักในการรับข้อมูลจากประสาทสัมผัส แต่กลับพบว่าสามารถประมวลผลและปรับเปลี่ยนการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่า สมองมีความยืดหยุ่นสูง (neuroplasticity) และสามารถปรับตัวได้แม้ในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์หรือการจดจำโดยตรง นั่นแสดงว่า สมองจะเกิดการปรับตัวให้ดีขึ้นทันที เมื่อผิดพลาดและมองหาการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

สมองยังมีเซลล์ประสาทเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความผิดพลาด 2 ประเภทหลัก:

✅เซลล์ประสาทตรวจจับความผิดพลาด (Self-monitoring Error Neurons) ตั้งอยู่ใน สมองส่วนหน้ากลาง (Medial Prefrontal Cortex) เซลล์เหล่านี้จะถูกกระตุ้นทันทีที่เกิดความผิดพลาด เพื่อส่งสัญญาณให้สมองประเมินและปรับพฤติกรรมในครั้งต่อไป

✅เซลล์ประสาททำนายความคลาดเคลื่อน (Prediction-Error Neurons) ซึ่งทำงานเมื่อผลลัพธ์ไม่สอดคล้องกับความคาดหวัง ตามงานวิจัยใน Nature Neuroscience (2023) เซลล์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการปรับพฤติกรรมผ่านกลไกการเรียนรู้แบบ reinforcement learning โดยอาศัยการปล่อยโดปามีน (dopamine) เพื่อเชื่อมโยงประสบการณ์กับผลลัพธ์

กลไกเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ความผิดพลาดเป็นตัวกระตุ้นให้สมอง "ตื่นตัว" และเร่งกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งสามารถวัดผลได้ด้วยเทคนิค เช่น การถ่ายภาพสมองด้วย fMRI หรือ EEG ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองเมื่อเกิดข้อผิดพลาด

ออกแบบระบบการศึกษาและสร้างนวัตกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้จากความผิดพลาด

ระบบการศึกษาสมัยใหม่มักเน้นการให้คะแนนและหลีกเลี่ยงความผิดพลาด ซึ่งอาจขัดขวางการพัฒนาสมองตามธรรมชาติ งานวิจัยของ Carol Dweck เกี่ยวกับ Growth Mindset (2006) แสดงให้เห็นว่า การยอมรับความผิดพลาดช่วยให้นักเรียนพัฒนาความสามารถได้ดีขึ้น

มีการประยุกต์ใช้ การเรียนรู้แบบ Mastery Learning ที่ให้นักเรียนมีโอกาสทดลองและแก้ไขข้อผิดพลาดซ้ำๆ จนเชี่ยวชาญ แทนการตัดสินจากผลลัพธ์ครั้งเดียว

ในองค์กรนวัตกรรม วัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยความผิดพลาด

องค์กรชั้นนำ เช่น Google และ Pixar ใช้แนวคิด “Fail Fast, Learn Faster” เพื่อส่งเสริมนวัตกรรม ศาสตราจารย์ Amy Edmondson (2019) ระบุว่า ความปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological Safety) เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมกล้าทดลองและเรียนรู้จากความผิดพลาด หมายถึงการให้รับรู้ว่า การผิดผลาดเป็นเรื่องปกติ การสร้างกะบะทราย (sandbox) ไว้ให้ลองล้มแล้วลุกใหม่ เป็นสิ่งที่จำเป็น

ในทางการแพทย์ ก็ต้องยอมรับว่า นักศึกษาหรือ แพทย์ที่จบใหม่มีความผิดพลาดที่มากกว่า การเรียนรู้จากความผิดพลาดมีความสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย กระบวนการเรียนรู้ให้จดจำจากการ discuss ใน bed side teaching จึงมีความสำคัญต่อกระบวนการเรียนรู้เป็นอย่างมากก่อนไปเผชิญโลกจริง

สมองของมนุษย์มีกลไกในระดับเซลล์ที่ออกแบบมาเพื่อเรียนรู้จากความผิดพลาดอย่างรวดเร็วและแม่นยำ การค้นพบนี้ไม่เพียงเปลี่ยนมุมมองต่อความล้มเหลว แต่ยังเปิดโอกาสให้เราออกแบบระบบ—ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา องค์กร หรือการแพทย์—ที่ใช้ประโยชน์จากกลไกนี้ได้อย่างเต็มที่

คำถามเพื่อการวิจัยและประยุกต์ใช้ต่อไป

การออกแบบการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ในบ้าน ในองค์กร หรือ ในชีวิตเราเอง ที่จะยอมรับความผิดพลาด และการเรียนรู้จากมัน จึงทำให้เราเก่งขึ้น

In Business, Innovation, startup Tags Innovation, startup
Comment

Full stack business developer "the everything man"

Added on March 14, 2025 by Surattanprawate.

ในยุคสมัยหนึ่ง มีคำกล่าวว่า “อันความรู้รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล” คำกลอนจากพระยาศรีสุนทรโวหาร หมายถึง หากเราสนใจอะไร ขอให้ทุ่มเทศึกษาในเรื่องนั้นอย่างลึกซึ้ง จนมีความเชี่ยวชาญศาสตร์ในเรื่องนั้นๆ นั่นจริง ในยุคสมัยหนึ่ง ยุคที่การแข่งขันอาศัยความเชี่ยวชาญเชิงลึก ยุคที่ความเชี่ยวชาญหายากและเป็นที่ต้องการสูงสุด แต่มันจะใช้ได้ในยุคนี้และวงการธุรกิจนวัตกรรมหรือไม่ ?

ธุรกิจนวัตกรรม เป็นธุรกิจที่มีข้อได้เปรียบสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเป็นเงาตามตัว ยิ่งเทคโนโลยีเชิงลึก ยิ่งมีข้อได้เปรียบมาก แต่เทคโนโลยีเชิงลึกมันคู่กับการเปิดตลาดใหม่ ตลาดที่เป็นน่านน้ำสีคราม ตลาดที่ยังไม่ค่อยมีใครเข้าถึง แต่ก็รวมถึงการตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าด้วย และคนที่ทำธุรกิจนวัตกรรมเชิงลึกนี้ มักเป็นนักวิจัย ที่อยู่ในขอบเขตเชี่ยวชาญเฉพาะตัว เมื่อต้องมาทำธุรกิจที่ต้องอาศัยทักษะคนละแบบ การก้าวเข้ามาเป็น founder หรือผู้ก่อตั้งธุรกิจ จึงไม่ใช่เส้นทางที่เรียบง่ายนัก

การ run ธุรกิจใหม่ คนที่เป็นผู้ก่อตั้ง ต้องมีทีมงานที่มีความชำนาญเฉพาะเรื่อง เพื่อช่วยเหลือและเติมเต็มในส่วนที่ขาดและพยุงธุรกิจให้ไปได้ดี แต่กระนั้น คนที่เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ร่วมก่อตั้ง ก็ต้องเข้าใจกระบวนการธุรกิจให้ครบองค์ประกอบทุกระดับ จะขาดส่วนใดไปไม่ได้ เราเรียกผู้ก่อตั้ง หรือ ผู้ดำเนินธุรกิจที่เข้าใจทุกองค์กระกอบของธุรกิจนั้นว่า “Full Stack Business Developer” หรือ “นักพัฒนาธุรกิจแบบเต็มรูปแบบ” นั่นเอง

Full Stack - From Coding to CEO

ในภาษาของเทคโนโลยี "Full-Stack Developer" หมายถึงบุคคลที่เข้าใจวิธีการเขียนโค้ดในทุกระดับของระบบคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่กระบวนการเซิร์ฟเวอร์ พื้นฐานของการเขียนโปรแกรมฝั่ง backend โครงสร้างฐานข้อมูล ไปจนถึงการออกแบบฝั่ง frontend พวกเขาเป็นหนึ่งในทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์กร เพราะสามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่เชื่อมโยงระหว่างแต่ละชั้นของระบบได้

Full-Stack Developer สามารถเป็นกำลังสำคัญของทีม ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด การวิเคราะห์ปัญหาที่ยากและซับซ้อนที่ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านยังแก้ไม่ได้ หรือแม้กระทั่งการพัฒนา MVP (Minimum Viable Product) อย่างรวดเร็ว

ขอแนะนำแนวคิดของ "ยูนิคอร์น" ในอีกแบบหนึ่ง: Full-Stack Business Development (Full-Stack BD)

บุคคลที่เป็น Full-Stack BD เข้าใจความซับซ้อนและปฏิสัมพันธ์ของแต่ละชั้นในกระบวนการสร้างมูลค่าในระยะยาว 🚀

ชั้นต่างๆ ของการพัฒนาเชิงธุรกิจแบบ Full-Stack

เช่นเดียวกับที่ Full-Stack Developer ทำงานข้ามหลายระดับของเทคโนโลยี Full-Stack Business Developer (Full-Stack BD) ก็ทำงานในหลายมิติของธุรกิจเพื่อสร้างมูลค่าระยะยาวและการเติบโตที่ยั่งยืน

นี่คือแต่ละชั้นของ Full-Stack BD:

1. ชั้นของลูกค้า (Customer Layer)

Full-Stack BD เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง โดยพวกเขาจะ:

  • ระบุ pain points (จุดเจ็บปวดของลูกค้า) ความต้องการ และแรงจูงใจของลูกค้า

  • เก็บข้อมูลเชิงลึกผ่านการวิจัย การพูดคุยโดยตรง และการวิเคราะห์ข้อมูล

  • ทำให้แน่ใจว่าความร่วมมือทางธุรกิจ การขาย และผลิตภัณฑ์สอดคล้องกับความคาดหวังของลูกค้า

Full-Stack BD ในบริษัท SaaS อาจวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้เพื่อปรับปรุงกระบวนการ onboarding และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่ช่วยเพิ่ม customer retention (อัตราการคงอยู่ของลูกค้า) แทนที่จะมุ่งเน้นเพียงแค่รายได้ระยะสั้น

2. ชั้นของผลิตภัณฑ์ (Product Layer)

ชั้นนี้เกี่ยวข้องกับการที่ผลิตภัณฑ์หรือบริการช่วยแก้ปัญหาของลูกค้าได้อย่างไร โดย Full-Stack BD จะ:

  • ทำงานใกล้ชิดกับทีมผลิตภัณฑ์เพื่อมีอิทธิพลต่อการพัฒนา features

  • สร้างพันธมิตรที่ช่วยเพิ่มคุณค่าของผลิตภัณฑ์

  • กำหนด positioning (การวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์) ในตลาดให้เหมาะสม

หากลูกค้ารู้สึกว่าการใช้งาน integration (การเชื่อมต่อระบบ) ยุ่งยาก Full-Stack BD อาจผลักดันให้เกิด API partnerships ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ใช้งานร่วมกับระบบอื่นได้ง่ายขึ้น

3. ชั้นของกลยุทธ์ (Strategy Layer)

ก่อนที่จะลงมือทำ Full-Stack BD จะต้องประเมินมูลค่าและทิศทางระยะยาว โดยพวกเขาจะ:

  • วิเคราะห์ว่าควรสร้างพันธมิตรทางธุรกิจหรือพัฒนาโซลูชันภายในเอง

  • ทำให้แน่ใจว่ากลยุทธ์ BD สอดคล้องกับเป้าหมายโดยรวมของบริษัท

  • สร้างสมดุลระหว่างการสร้างรายได้ระยะสั้นและการเติบโตที่ยั่งยืน

สตาร์ทอัพ อาจต้องการสร้างพันธมิตรจำนวนมากอย่างรวดเร็ว แต่ Full-Stack BD จะให้ความสำคัญกับพันธมิตรที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และสามารถขยายขนาดธุรกิจได้ในระยะยาว

4. ชั้นของมนุษย์ (Human Layer)

หัวใจของการพัฒนาเชิงธุรกิจคือ การสร้างความสัมพันธ์ โดย Full-Stack BD จะ:

  • สร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์กับ stakeholders (ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย)

  • สื่อสารคุณค่าให้ทั้งบุคคลและองค์กรเข้าใจ

  • สร้าง connections ที่ลึกซึ้งกว่าความสัมพันธ์แบบธุรกรรมทั่วไป

แทนที่จะมุ่งเน้นเพียงการปิดดีล Full-Stack BD จะสร้างความสัมพันธ์ที่ทำให้พันธมิตรยังคงสนใจและมีส่วนร่วมกับบริษัทในระยะยาว

5. ชั้นของความสัมพันธ์ (Relationship Layer)

นี่คือไดนามิกของการให้และรับใน business development โดย Full-Stack BD จะ:

  • ทำให้แน่ใจว่าทุกความร่วมมือให้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

  • รู้ว่าเมื่อใดควรให้ความสำคัญกับบริษัท และเมื่อใดควรให้ความสำคัญกับพันธมิตร

  • รักษาการไหลเวียนของคุณค่าให้ยั่งยืน เพื่อให้ทุกฝ่ายยังคงมีส่วนร่วม

Full-Stack BD ที่กำลังเจรจาข้อตกลงการกระจายสินค้า (distribution deal) จะต้องทำให้แน่ใจว่าทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์อย่างสมดุล ไม่ให้เกิดความไม่พอใจหรือข้อตกลงที่เอื้อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป

ทำไม Full-Stack Business Development ถึงสำคัญ?

หลายคนเชี่ยวชาญเพียงบางชั้นของธุรกิจ เช่น การขาย (Sales), พันธมิตรทางธุรกิจ (Partnerships), หรือการตลาด (Marketing) แต่ Full-Stack BD มองเห็นภาพรวมทั้งหมด พวกเขาสามารถ:

  • เชื่อมโยง customer needs กับ product solutions

  • สร้าง partnerships ที่มีคุณค่าจริง ไม่ใช่แค่ดีลที่ดูดี

  • คิดเชิงกลยุทธ์ก่อนลงมือทำ ลดการใช้ทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์

  • สร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่าธุรกรรมทั่วไป

Full-Stack BD ไม่ได้มีเส้นทางอาชีพที่ตายตัว พวกเขาอาจมาจากสายงาน Sales, Marketing, Finance, หรือแม้แต่กฎหมาย แต่ การเชี่ยวชาญทั้ง 5 ชั้น คือสิ่งที่แยก BD ระดับดี ออกจาก BD ระดับยอดเยี่ยม

Reference: https://www.forbes.com/sites/scottpollack/2013/04/02/full-stack-business-development/

In Business, Innovation, startup Tags Business, startup
Comment

เราหลงลืมความเรียบง่าย ไปหรือเปล่า

Added on March 14, 2025 by Surattanprawate.

คนไข้หญิง อายุ 40 ปลาย เข้ามาหา บอกว่า ปวดเนื้อตัว แสบร้อน วันนึง ขยับแขนไม่ได้ เดี๋ยวซ้าย เดี๋ยวขวา ชาก็วิ่งวัน รักษามา 6 เดือนไม่หาย

ไป MRI ไม่เจออะไร ซักลึกลงไป มีความเครียดสูงมาก ค่ามะเร็งขึ้น ตรวจเยอะแยะไปหมด แม้ไม่เจอมะเร็งแต่ความเครียดฝังตัวไปแล้ว กลายเป็นคนวิตกและเกิดอาการทางกาย ทางระบบประสาท แบบไม่ทราบเหตุ

อจ ตรวจวิเคราะห์แล้วบอกว่ามันคือ Functional Neurological Disorder (FND) คือความผิดปกติที่เกิดขึ้น สมองสั่งมา แต่ไม่มีโรคจริง เรียกง่ายว่า "โรคใจสั่งมา" ตามเพลงพี่เสก โลโซ

คนเราอยู่ในสังคมที่มีแต่เรื่องที่ทำให้เกิดความเครียด กลายคนกลายเป็นคน sensitive ไวต่อทุกเรื่อง เสพข่าวกระตุ้นอารมณ์ อยู่กับเวลาที่วิ่งเร็ว จนจิตใจเหนื่อยล้าตามไม่ทัน กลายเป็นจิตใจไม่ปกติ ตกใจ วุ่นวายกับทุกสิ่ง

คนไข้บอกว่า สมองมันชินกับความเครียดไปแล้ว ผ่อนคลาย กลายเป็นเรื่องไม่ปกติ

อจ. รักษาและบอกไปว่า ไม่เป็นอะไร ไม่ใช่ multiple sclerosis, ไม่ใช่มะเร็ง ใจเย็น ๆ จงเรียบง่ายโดยสมัครใจ

ความเรียบง่ายโดยสมัครใจ - จงเลือกอยู่อย่างเรียบง่ายในโลกที่ซับซ้อน

ความเรียบง่ายโดยสมัครใจ ภาษาอังกฤษ เรียก Voluntary simplicity เป็น ปรัชญาที่สนับสนุนการใช้ชีวิตแบบมินิมัลลิสต์อย่างตั้งใจ โดยให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่มีความหมายมากกว่าทรัพย์สินวัตถุ

หัวใจสำคัญของความเรียบง่ายโดยสมัครใจคือการปรับวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับคุณค่าของตนเอง ลดความเครียดที่ไม่จำเป็น และส่งเสริมสุขอย่างยั่งยืน

ความเรียบง่ายโดยสมัครใจไม่ใช่การขาดแคลน แต่เป็นการเลือกอย่างตั้งใจ

ภาพ Henry David Thoreau จาก >> https://www.americanessence.com/henry-david-thoreau-a-man-who-took-simplicity-to-heart_10408.html

A man who took simplicity to heart

เฮนรี เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ได้กล่าวไว้ว่า “ชีวิตของเราถูกทำให้สูญเปล่าไปกับรายละเอียด... จงทำให้เรียบง่าย ทำให้เรียบง่าย”

ความไม่ซับซ้อน ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น

การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Consumer Psychology (2014) พบว่า บุคคลที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าภายใน เช่น ความสัมพันธ์และการเติบโตส่วนบุคคล มีความพึงพอใจในชีวิตมากกว่าผู้ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความมั่งคั่งทางวัตถุ

การศึกษาในวารสาร Personality and Social Psychology Bulletin (2017) พบว่า ผู้ที่ให้คุณค่าแก่เวลามากกว่าเงินมักจะมีความสุขมากกว่า การทำให้ชีวิตเรียบง่ายสามารถนำไปสู่การมีสติมากขึ้น ลดภาระทางความคิด และปรับปรุงสุขภาพโดยรวม

อย่าง วิธี KonMari โดย มารี คอนโดะ (Marie Kondo) สนับสนุนให้เก็บเฉพาะสิ่งของที่ “จุดประกายความสุข Sparking joy" เท่านั้น จงทิ้งและบอกลาอย่างมีความสุข บ๊ายบาย ของมากมาย ขอบคุณที่อยู่กับเรานะ แต่ฉันจะทำให้ตัวเบาขึ้นแล้ว

โลกวิ่งเร็วเราไม่ต้องไปวิ่งตามมันหรอก เราเดินในจังหวะของเรา จังหวะที่มีความสุข ไม่ต้องไปตามใคร

- อจ สุรัตน์

In Life, Philosophy, Psychology, สาระสมอง Tags dailyphilosophy
Comment

80% ของความสำเร็จคือการแสดงตัว

Added on March 13, 2025 by Surattanprawate.

Show Up: ศาสตร์แห่งการแสดงตัวในโลกนวัตกรรม

วู้ดดี้ อัลเลน เคยกล่าวไว้ว่า “80% ของความสำเร็จคือการแสดงตัว” นั่นคือคำพูดที่แท้จริง ในโลกของสตาร์ทอัพและนวัตกร เราไม่อาจประสบความสำเร็จได้หากยังอยู่ในเงามืด ไม่เปิดเผยไอเดีย หรือไม่กล้าแสดงตัวออกมาให้โลกรู้

Show Up: ศาสตร์แห่งการแสดงตัว

"ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน" อาจเป็นคำพูดที่ใช้ได้ในบางวงการ แต่ไม่ใช่สำหรับสตาร์ทอัพ การโชว์ตัวและการ pitching ไม่ใช่แค่พิธีกรรมหรือขั้นตอนที่ต้องทำตามระบบ แต่มันคือ โหมดเปิดการมองเห็น ที่ช่วยให้ไอเดียของเราถูกค้นพบ นำไปสู่โอกาสใหม่ ๆ และที่สำคัญ มันคือกระบวนการสร้างตัวเองให้เชี่ยวชาญมากขึ้น

สตาร์ทอัพรายหนึ่งที่ผ่านเวที pitching อย่างโชกโชนกล่าวไว้ว่า

“การ pitching เป็นการขยายโอกาสที่ลงทุนน้อยที่สุด”

นั่นเพราะทุกครั้งที่เราขึ้นเวที เราไม่ได้แค่ขายไอเดีย แต่เรากำลังทดสอบไอเดียของตัวเอง สื่อสารให้ชัดเจนขึ้น และเรียนรู้จากคำถามหรือข้อสงสัยที่ได้รับกลับมา

เครือข่ายคือทุนที่สำคัญ

ในวงการนวัตกรรม โอกาสไม่ได้มาหาเราเอง แต่เราต้องออกไปหาโอกาส การเข้าร่วมงานอีเวนต์ พูดคุยกับนักลงทุน รับฟังคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ และสร้างเครือข่าย (networking) คือ ปัจจัยสำคัญที่แยกสตาร์ทอัพที่รอดออกจากสตาร์ทอัพที่ล้มเหลว

งานนวัตกรรมต่าง ๆ ไม่ได้เป็นแค่ที่รวมของเทคโนโลยีใหม่ ๆ แต่เป็นเวทีที่ทำให้ผู้คนได้รู้จักกัน เชื่อมต่อไอเดียเข้าด้วยกัน และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่อาจเปลี่ยนอนาคตของสตาร์ทอัพได้

Pitching คือ Selling: ทักษะที่ขาดไม่ได้

หากต้องเลือกทักษะที่ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพควรมี ทักษะการขาย (Selling Skill) คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขายไอเดีย ขายผลิตภัณฑ์ ขายวิสัยทัศน์ให้ทีมงานหรือนักลงทุน เราต้องรู้วิธีเล่าเรื่อง (storytelling) โน้มน้าวใจ และทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่า นี่คือโอกาสที่พวกเขาไม่ควรพลาด

สุดท้ายแล้ว “โชว์ตัว” ไม่ใช่แค่การปรากฏกาย แต่คือการสร้างโอกาสให้กับตัวเอง ดังนั้น ถ้าคุณมีไอเดียที่ดี อย่าปล่อยให้มันติดอยู่แค่ในกระดาษ จงแสดงตัวและเปิดโอกาสให้ตัวเองอยู่เสมอ

เทคนิคการแสดงตัวให้ได้ผล

การ "โชว์ตัว" อย่างมีกลยุทธ์เป็นสิ่งสำคัญ เราต้อง แสดงตัวอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่แค่ปรากฏตัว นี่คือเทคนิคที่ช่วยให้การแสดงตัวของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1. เลือกเวทีให้เหมาะสม

ไม่ใช่ทุกเวทีจะเหมาะกับคุณ เลือกงานที่ตรงกับเป้าหมายของคุณ หากต้องการนักลงทุน ให้ไปงาน pitching หากต้องการพาร์ทเนอร์ ให้ไปงาน networking และหากต้องการลูกค้า ให้ไปงาน showcase

2. เตรียมตัวให้พร้อมก่อนปรากฏตัว

การแสดงตัวที่ดีต้องมาพร้อมกับ Key Message หรือข้อความหลักที่อยากสื่อสาร คิดให้ชัดเจนว่าคุณต้องการให้คนจำอะไรเกี่ยวกับคุณ ไม่ว่าจะเป็นไอเดีย นวัตกรรม หรือโอกาสทางธุรกิจ

3. สร้างตัวตนในโลกออนไลน์ควบคู่กัน

การแสดงตัวในโลกจริงต้องไปควบคู่กับการสร้างตัวตนในโลกออนไลน์ LinkedIn, Twitter, Facebook Page หรือ Medium สามารถเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น และทำให้คนที่พบเจอคุณในงานสามารถติดตามคุณต่อได้

4. พูดให้สั้น แต่ทรงพลัง

คุณต้องสามารถสรุปตัวเองหรือไอเดียของคุณในเวลาไม่เกิน 30 วินาที นี่คือสิ่งที่เรียกว่า "Elevator Pitch" ฝึกให้ตัวเองสามารถเล่าเรื่องได้อย่างกระชับและน่าสนใจ

5. เชื่อมต่อและติดตามผลหลังงาน

การ networking ที่แท้จริงเกิดขึ้นหลังจากงานจบ หากคุณได้แลกเปลี่ยน contact กับใคร จง follow-up ส่งอีเมลหรือข้อความเพื่อต่อยอดความสัมพันธ์ และทำให้โอกาสไม่จบแค่วันงาน

สุดท้ายแล้ว “โชว์ตัว” ไม่ใช่แค่การปรากฏกาย แต่คือการสร้างโอกาสให้กับตัวเอง หากคุณมีไอเดียที่ดี อย่าปล่อยให้มันติดอยู่แค่ในกระดาษ จงแสดงตัวและเปิดโอกาสให้ตัวเองอยู่เสมอ เพราะการแสดงตัวที่ถูกที่ ถูกเวลา และถูกวิธี อาจเปลี่ยนชีวิตและธุรกิจของคุณไปตลอดกาล

In Business, Creativity, Innovation, Marketing, startup Tags Business, Innovation
Comment

จักรวาลไม่เคยใส่ใจเรา—แต่บางทีเราอาจไม่ต้องการให้มันใส่ใจก็ได้: ว่าด้วยความหมายของการมีชีวิต

Added on March 7, 2025 by Surattanprawate.

อีก 100 ปี ไม่มีใครอยู่ที่นี่ แต่โลกที่ยังคงดำเนินต่อไป

ความจริงอันเรียบง่าย อาจเต็มไปด้วยความสวยงามและความเจ็บปวดพร้อมๆ กัน

ในอีกหนึ่งศตวรรษข้างหน้า ทุกคนที่มีชีวิตอยู่ในวันนี้จะจากไป ชื่อของเราอาจจางหาย เสียงของเราจะเงียบลง และเรื่องราวของเราจะกลายเป็นเพียงความทรงจำ

แต่โลกจะยังคงดำเนินต่อไป—พระอาทิตย์จะยังขึ้น คลื่นจะยังซัดสาดเข้าหาฝั่ง ลมจะยังพัดผ่านราวกับว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

หากชีวิตเราสั้นนัก อะไรคือสิ่งที่มีความหมาย? หรือสุดท้าย ความหมายของมันก็คือความไร้ความหมายนั่นแหละ ?

ประวัติศาสตร์คือสุสานขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาณาจักร ผู้นำ และอารยธรรมที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่

ฟาโรห์แห่งอียิปต์สร้างพีระมิดเพื่อท้าทายกาลเวลา ทว่าวันนี้กลับกลายเป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยว

นักปรัชญาแห่งกรีกและโรมันวางรากฐานให้กับความคิดสมัยใหม่ แต่พวกเขาเองก็กลายเป็นเพียงเถ้าธุลี

มหาเศรษฐี นักการเมือง และคนดังในปัจจุบัน ไม่ว่าอำนาจจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมเดียวกันได้

ไม่ว่าคนจะแซ่ซ้อง หรือ กร่นด่า อีก 100 ปี เราก็ไม่ได้ยินเสียแล้ว

อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 73 ปี หากคุณกำลังอ่านบทความนี้ มีโอกาสสูงว่า ภายในปี 2125 คุณและทุกคนที่คุณรู้จักจะจากไป

แต่ในปี 2125

โลกจะยังหมุนอยู่ที่ความเร็ว 1,670 กม./ชม.

น้ำขึ้นน้ำลงจะยังดำเนินไปตามจังหวะของดวงจันทร์

ต้นไม้จะยังคงแกว่งไหวไปตามสายลม โดยไม่รับรู้เลยว่าเราเคยมีชีวิตอยู่

เราทิ้งอะไรไว้เบื้องหลัง: มรดก หรือเพียงแค่ฝุ่นผง?

บางคนบอกว่า สิ่งที่เราสรรค์สร้าง นั่นคือความหลาย เหมือนเราคือศิลปิน ที่จะมีความหมายเมื่อได้สะบัดฝีแปรงไว้บนโลก

”The meaning of life exist from what we do”

หากเป็นเช่นนั้น เป้าหมายของชีวิตอาจไม่ใช่การมีชีวิตอยู่ตลอดไป แต่คือการสร้างบางสิ่งที่คงอยู่

“มนุษย์มีความตายสองครั้ง: ครั้งแรกคือเมื่อเขาสิ้นลมหายใจ และครั้งที่สองคือเมื่อไม่มีใครเอ่ยถึงชื่อของเขาอีก” – ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม

หรือ จริงๆ แล้วเราไม่ต้องค้นหาความหมายจอมปลอมอะไรนั่น ก็แค่ใช้ชีวิตและยอมรับความไร้ความหมายของชีวิต แค่นั้นเอง

อัลแบร์ กามูส์ (Albert Camus) เคยกล่าวว่า

“ชีวิตนั้นไร้ความหมาย—ยกเว้นความหมายที่เราสร้างขึ้นเอง”

ในหนังสือ The Myth of Sisyphus เขาเปรียบชีวิตเหมือนซิซิฟัส ผู้ต้องกลิ้งหินขึ้นเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีจุดหมาย และสุดท้ายหินก็กลิ้งลงมา แต่กามูส์กล่าวว่า เราควรยอมรับความไร้สาระนี้ และมีความสุขไปกับมัน

อย่างไรเสีย ทุกอย่างก็ต้องจบลง เราอาจไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตเพื่อ “ความหมาย” แต่เพื่อ ประสบการณ์—เพื่อช่วงเวลาที่เรามีอยู่ ณ ตอนนี้

หัวเราะกับเพื่อน

นั่งมองพระอาทิตย์ตก

ตกหลุมรัก

สร้างสรรค์โดยไม่ต้องการให้มันเป็นที่จดจำ

จักรวาลไม่เคยใส่ใจเรา—แต่บางทีเราอาจไม่ต้องการให้มันใส่ใจก็ได้

สิ่งเดียวที่มีความหมายคือปัจจุบัน

“เราไม่ได้จดจำวันเวลา เราจดจำเพียงช่วงเวลา” – เซซาเร ปาเวเซ (Cesare Pavese)

อจ. คิดอย่างไรหนะเหรอ

อยากทำอะไรก็ทำ จะมีใครจดจำหรือไม่ไม่เป็นไร ตราบใดที่ไม่เดือดร้อนตัวเองและมีประโยชน์กับโลกบ้าง ก่อนตายจะได้ระลึกสักเสี้ยววินาที ก็พอ

อจ สุรัตน์

In Life, Philosophy
Comment
← Newer Posts Older Posts →
Back to Top