ตื่นมาสมองมันล้า หากล้านาน ๆ ก็สมองเสื่อม เพราะมีสารพิษสะสมมากเกินไป มันเหมือนขยะ ที่ล้วนทำลายสมอง
ระบบไกลม์ฟาติก (Glymphatic System) คือระบบ “ล้างสมอง” ขณะนอนหลับ ทำหน้าที่กำจัดของเสียออกจากสมอง โดยเฉพาะในช่วง หลับลึก (slow-wave sleep) ซึ่งเป็นช่วงที่ของเหลวในสมองไหลเวียนดีที่สุด และช่วยทำความสะอาดสมองเหมือนระบบแม่บ้านจอมขยัน
เรามารู้สารสำคัญที่ระบบไกลม์ฟาติกช่วยล้างออกจากสมองขณะนอนหลับ:
1. เบต้า-อะไมลอยด์ (β-amyloid)
โปรตีนที่เมื่อสะสมมากเกินไปจะจับตัวเป็นคราบในสมอง (amyloid plaques)
เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์
ระบบไกลม์ฟาติกจะช่วยล้างออกในช่วงที่นอนหลับ โดยเฉพาะช่วงหลับลึก
2. โปรตีนเทา (Tau protein)
โปรตีนที่ถ้าสะสมผิดปกติจะทำให้เซลล์สมองเสื่อม
พบมากในโรคทางสมอง เช่น อัลไซเมอร์
การนอนหลับช่วยกำจัดโปรตีนเทาที่เกินความจำเป็น
3. แลคเตท (Lactate)
ของเสียจากกระบวนการเผาผลาญพลังงานในสมอง
ระดับแลคเตทลดลงชัดเจนขณะนอนหลับ แสดงว่าถูกกำจัดออก
4. สารอนุมูลอิสระ และของเสียจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน (ROS)
เกิดจากการทำงานของสมองและความเครียด
การสะสมอาจทำลายเซลล์ประสาท
ระบบไกลม์ฟาติกช่วยล้างออก ลดความเสี่ยงการอักเสบและเสื่อมของสมอง
5. ของเสียจากการสลายของสารสื่อประสาท
เช่น กลูตาเมต และโดปามีน
การขจัดของเสียเหล่านี้ช่วยรักษาสมดุลของสมอง
เราหลับ สมองไม่หลับ มันเปิด “ช่องทางลับ” ให้ของเหลวในสมองไหลผ่านอย่างรวดเร็ว เพื่อกำจัด โปรตีนพิษ สารตกค้าง และของเสียต่าง ๆ แม่บ้านจอมขยันนี่เยี่ยมจริง ๆ แต่หาก นอนมากไป ก็ไม่ดีนะ แม่บ้านก็ล้างเสร็จไปแล้ว สมองเราต้องตื่นมาทำงาน นอนให้อยู่ในช่วง 7-9 ชั่วโมง
- อจ สุรัตน์
Filtering by Category: Medicine
ซึมเศร้า นาฬิกาสมอง และยา
เดี๋ยวนี้รักษาคนไข้โรคสมอง และมีคนเป็นซึมเศร้ามาด้วย
ยาต้านเศร้าสมัยเก่า กลุ่ม SSRIs ผลข้างเคียงมากพอควร คนไข้ บ่น น้ำหนักขึ้น ง่วงซึม และความรู้สึกทางเพศลด คือ ทานยาแล้ว ทานต่อเนื่องยากเหมือนกัน
พวกยากลุ่มใหม่ เช่น Agonelatine กับ Vortioxetine ที่มีกลไก ใหม่ๆ นี่ดีมากเลย
Agomelatine ไป จัดการนาฬิกาสมอง
คือ คนซึมเศร้า นาฬิกาสมอง รวดเร จะมีอาการผิดปกติการนอน ไม่นอนน้อย ก็ นอนมาก ผิดปกติ หินเยอะจนฉุ ไม่ก็ ไม่อยากอาหารจนซูบ อารมณ์เบื่อหน่าย ชีวิตได้จุดหมาย
การรักษา คือ จัดระเบียบชีวิต จัด นาฬิกาชีวิต biological clock ก็ดีส่วนหนึ่ง นอนตรงเวลา กินตรงเวลา
อีกส่วนใช้ยาจัดการ
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่า melatonin ช่วยซึมเศร้าได้ด้วย แต่อาจใช้ในคน มีปัญหาการนอน แล้วซึมเศร้าดีตาม
- อจ สุรัตน์
ยับยั้งความหื่นไม่ได้ : Sexual disinhinition
จากการที่มีข่าวฉาว นักการเมืองใหญ่ รองเลขาธิการพรรคการเมือง ได้ลวนลามสาวที่ถูกหลอกไปนั่งคุยจะสอนเรื่องหุ้นและธุรกิจ แต่กลับพูดคุยเรื่องเพศ และลวนลาม เมื่อสาวไปพบว่า มีประวัติถูกแจ้งข้อหา ข่มขืนที่ประเทศอังกฤษซะอีกแหนะ ทั้งที่จริง ๆ ในเบื้องหน้าและการทำงาน ถือว่าเป็นคนที่มีการศึกษา มีความคิดด้านเศรษฐกิจที่น่าสนใจ แล้วทำไม กลับไม่มีความคิดยับยั้งชั่งใจเรื่องเพศ ทำให้เกิดความเสื่อมเสีย ชื่อเสียง
พวกคนประเภทนี้ อาจมีปัญหาด้านสมองส่วนการยับยั้งชั่งใจ ซึ่งอยู่ตรงสมองส่วนหน้า ที่ทางการแพทย์เรียก “Disinhibition” และ เมื่อขาดความยับยั้งชั่งใจเรื่องเพศ เราก็เรียกว่า “Sexual disinhibition”
มารู้จักสมองส่วนยับยั้งชั่งใจที่เรียกว่า Prefraontal lobe กันก่อน
Frontal lobe หรือ สมองส่วนหน้า เป็นสมองส่วนที่ใหญ่ที่สุด เพราะมันได้พัฒนามาเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการคิด การตัดสินใจ ความจำ และ การยับยั้งชั่งใจ โดยสมองส่วนนี้ จะแบ่งหน้าที่ใหญ่เป็น 3 ส่วนคือ
Dorsolateral prefrontal cortex ทำหน้าที่ แก้ไขปัญหา การวิเคราะห์
Ventromedial prefrontal cortex ทำหน้าที่ การควบคุมอารมณ์
และ Orbitofrontal prefrontal cortex ทำหน้าที่เหยียบเบรค อารมณ์และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
โดยหลาย ๆ คนที่มีปัญหา ในการทำงานของ Orbitofrontal cortex นี่แหละ ที่จะยับยั้งชั่งใจไม่ได้ เรียกว่า อดใจไม่ไหวละกัน โดยทั่วไปก็เจอในพวก ที่มีปัญหาโรคสมองที่ทำให้ทำลายส่วนนี้ เช่น เนื้องอก หลังอุบัติเหตุ หรือ ภาวะสมองเสื่อมเป็นต้น ทำให้คนพวกนี้บางทีก็จะมีพฤติกรรมลวนลาม และหยุดยั้งอารมณ์ไม่ได้ โดยเฉพาะ เรื่องเพศ เป็นเรื่องที่ผิดปกติที่พบได้บ่อย อย่างไรก็ตาม ก็จะเจอคนปกติที่ไม่ได้เป็นโรคสมองชัดเจน แต่มีปัญหาในการทำงานของสมองส่วนยับยั้งนี้
ในอดีต ก็มีกรณี เคส ที่สมองส่วนหน้าถูกทำลายทำให้เกิดพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป อย่างกรณี Pineas Gage ชายผู้ถูกเหล็กแหลมทิ่มทะลุ ทำลายสมองส่วนหน้าแล้วทำให้พฤติกรรมจากการที่เป็นชายหนุ่มที่แสนสุภาพ กลับกลายเป็นชายถ่อยที่หยาบคายและหื่นกาม
นอกจากนี้แล้ว หลาย ๆ คนคิดว่า ความผิดปกติ นี้เกิดมาพร้อมกับตัวคนนั้น หรือ เกิดจากการมีโรคที่สมอง แต่ได้มีการศึกษาวิจัยแล้วว่ามีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูหนังโป๊ และหมกมุ่นเรื่องเพศมากเกินไป จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับสมองส่วนหน้านี้ได้ มีการวิจัย ถึงโครงสร้างสมองของคนที่ดูหนังโป๊ ว่ามีผลต่อสมองอย่างไร ในงานวิจัยที่ชื่อว่า “Pornography’s effect on the brain” ที่ตีพิมพ์ใน วารสาร The BYU Undergraduate Journal of Psychology: Vol. 13 : Iss. 2 , Article 2. Available at: https://scholarsarchive.byu.edu/intuition/vol13/iss2/2
ได้กล่าวว่า Pornography use หรือ การดูหนังโป๊ มันจะทำให้ลดส่วนสมองของ prefrontal cortex หรือ ส่วนที่ยับยั้งชั่งใจนั่นเอง ทำให้การไตร่ตรองลดลง และ การควบคุมอารมณ์ก็ลดลงไปด้วย
การรักษา พวกที่ยับยั้งอารมณ์ทางเพศไม่ได้ มีตั้งแต่ การปรับพฤติกรรม การพบจิตแพทย์ และ ใช้ยากดอาการไว้ ไปจนถึง การใช้ไฟฟ้า กระตุ้นสมอง เพื่อยับยั้งอารมณ์นั่นเอง
มนุษย์ยังไม่หยุดวิวัฒนาการ
สิ่งมีชีวิต มีการวิวัฒนาการมาตลอด หากใครอ่านหนังสือ The species ของ Sir. Charles Darwin หรือ Selffish Gene ของ Richard Dowkins แล้ว อาจเห็นอะไร ๆ ที่มันค่อย ๆ ปรับตัวไปกับเวลา
สิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม อากาศ อวกาศ แสง เสียง พฤติกรรม การดำเนินชีวิต จิตใจ ล้วนเคลื่อนไหว เลื่อนไหลไปตามกาลเวลา และมีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวตลอดเวลา
ในขณะที่โลกหมุนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วด้วยแรงถาโถมแห่งเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่อาจลืมนึกไปว่า สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน คือการวิวัฒนาการในเชิงโครงสร้างของร่างกายมนุษย์ด้วย
งานวิจัยใหม่ ๆ ไม่ได้เพียงแค่แสดงว่ามนุษย์ได้มีการวิวัฒนาการไปข้างหน้าเท่านั้น แต่ความเร็วในการวิวัฒนาการยังเพิ่มขึ้นด้วย เช่น การวิจัยที่พบว่าการหดสั้นลงของใบหน้าทารกที่เพิ่งคลอดในปัจจุบัน การมีการเพิ่มขึ้นของ fabella bone เป็นกระดูกที่อยู่หลังกระดูกหัวเข่า และการเกิดขึ้นใหม่ของกระดูกเท้า
กรามที่เล็กลง ตาที่โตขึ้น ในคนยุคอนาคต
Wisdom teeth หรือ ฟันกรามชุดที่ 3 ที่จะขึ้นมาในช่วงวัยรุ่น และเกิดเป็นฟันคุดขึ้น เนื่องจากมนุษย์ในปัจจุบัน มีแนวโน้มในการมีกรามที่เล็กลง เนื่องจากอาหารต่าง ๆ ถูก process หรือ ถูกปรุงให้ ไม่จำเป็นต้องใช้การบดเคี้ยวที่มากนัก ก็เป็นหนึ่งในวิวัฒนาการที่เกิดขึ้น ทำให้ wisdom teech หายไปในคนยุคใหม่
ได้มีการจินตนาการกันว่า หากมีการ evolve ไปเรื่อย ๆ คาดการว่า หน้ามาของมนุษย์จะเป็นอย่างไร อาจมีผิวที่ซึดลง มีกรามที่เล็กลง ขณะที่ตา อาจโตขึ้น และขนลดลงไปเรื่อย ๆ
Median artery ที่เกิดขึ้น ไม่หายไปในคนปัจจุบัน
สิ่งสังเกตที่น่าสนใจอีกสิ่งหนึ่งก็คือ การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ median artery ที่เป็นเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณแขน โดยคณะวิจัย จาก Flinders University และ University of Adelaide ที่ South Australia ได้ Pubished งานวิจัยลงใน Journal of Anatomy กล่าวว่า ปกติแล้ว median artery ที่เลี้ยงแขนของทารกในครรภ์ จะฝ่อไปเมื่อคลอดออกมา และถูกแทนที่ด้วย radial และ ulna arteries โดยที่มีบางคนเท่านั้นที่จะยังคงมี median artery อยู่ โดยที่คณะวิจัยค้นพบว่า ในทารกที่คลอดในปัจจุบัน มีการพบว่ามี median artery เพิ่มจาก 10% ในยุคก่อน ค.ศ. 1880 มาเป็น 30% ในยุคปัจจุบัน
สิ่งเหล่านี้ อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ที่เราเรียกว่า micro evolution แต่เมื่อนานไป เราก็จะเห็นได้อย่างชัดเจน
Science Startup: Getting Science out of the Lab
การค้นอะไรใหม่ทางวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น แต่การนำสิ่งที่ค้นพบออกมาใช้จริงได้แก่สังคม เป็นเรื่องที่น่า challenge และวิธีการของมันก็แทบจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการปิ้งแว้บไอเดียออกมาแล้วก็ปั้นออกมาเป็นงานวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสารที่มี Impact Factor สูงลิบลิ่ว
การจะ spinning out science ออกจากการทำงานด้านวิชาการไม่ใช่เรื่องใหม่ หน่วยงานที่ถูกตั้งขึ้นอย่าง Technology Transfer Officers (TTOs) มีอยู่ในทุกมหาวิทยาลัย เพื่อเป้าหมายในการนำงานวิจัยที่วางอยู่บนหิ้งมาใช้งานจริงในตลาดจริงๆ และจุดมุ่งหมายของ TTOs เป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่จะคอยสร้างรายได้ให้กับมหาวิทยาลัยอีกทางนึง
แต่ การที่จะนำการค้นพบ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ที่มีการทดลองในสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดเพื่อขจัดปัจจัยที่เรียกว่า confounding factors แล้วนำมาใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง กลับมีเปอร์เซ็นต์ในการประสบความสำเร็จต่ำเสียน่าตกใจ จนหลายๆ คนนิยามการกระโดดจากงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ว่าเป็น “Valley of Dealth” หรือหุบเขาแห่งความตายที่จะกระโดดข้ามไปที ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ประเด็นสำคัญของการล้มเหลวในการ Transfer research to market หลัก ๆ คือ โจทย์วิจัยทำในสิ่งที่ไม่แก้ปัญหาของตลาด ถ้าไม่นับการทดลองผลิตยาที่เป็นการค้นพบในการแก้ปัญหาในการรักษาโรคอย่างตรงไปตรงมาแล้ว การทดลองวิจัยอื่น ๆ แทบจะไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลย หรืออาจเรียกได้ว่า “สร้างของดี แต่อาจจะไม่มีคนซื้อ” นั่นคือประเด็นอยู่ที่ market validation และ market size และสิ่งนี้แทบจะเรียกได้ว่า ต้องอาศัยทักษะและความรู้ของการเป็นผู้ประกอบการนอกเหนือจากการเป็นนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่มุ่งเน้นที่การทดสอบสมมุติฐานและทักษะการวิพากษ์และเขียนงาน paper ลงตีพิมพ์
เมื่อโลกเปลี่ยนไป และหมุนไวกว่าเดิม การสร้างนักวิทยาศาสตร์ และ นักวิจัย ที่มีวิธีคิดที่แตกต่างและใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบ เริ่มด้วยปัญหามาก่อน (problem-led) แล้วใช้วิธี approche ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบ startup จึงเป็นจุดเปลี่ยน ไม่สิ เป็นจุดรอด ของนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัย ที่ต้องมีเป้าเป็นการตอบโจทย์ตลาดและสังคม หรือเราเรียกนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ว่า “Science Startup”
Life of Science Startup
วิถีของ Science Startup ที่เริ่มจาก founder การสร้างทีม ค้นหาปัญหาที่ต้องการแก้ และสร้าง product ต้นแบบ และ test ตลาดเพื่อให้ product market fit มากที่สุด
ยกตัวอย่าง London-based Deep Science Venture (DSV) ที่เป็น venture-focused science institute ที่มองหาทางแก้ปัญหาในเรื่อง Alzheimer’s disease, antimicrobial resistance มาก่อน จากนั้น ขบวนการระดมผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ ที่มีความเข้าใจในการประกอบธุรกิจและการบ่มเพาะแบบ startup จึงเริ่มขึ้น เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว และเขาก็นำทีมเข้า accelerator programme โดยที่ให้ทีมนำเสนอ ideas ในการแก้ปัญหาที่หลากหลาย แล้ว seed เงินทุนลงไปเพื่อพัฒนา prototype ผ่านการทดลองวิจัย จนออกมาเป็น Living neural implants, efficient bioprocessing และ one-day antibody design
AntiVerse: One day anti-body design
Faster Antibody Drug Discovery with AI
Antiverse is building a world-first computational antibody drug discovery platform to predict antibody-antigen binding and provide antibody drug candidates.
http://www.antiverse.io
ในการแข่งขัน Helsinki Challenge เป็นการเข่งขันที่เป็น science-based competition และ accelerator ที่รวบรวมนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย นักพัฒนา ที่มีแนวคิดแบบ science startup เพื่อเฟ้นหากลุ่มผู้ประกอบการนักคิดค้น เป้าหมายในการช่วย UN Sustainable Development
Mikael Sokero นักวิจัยและเจ้าของโครงการ Demos Helsinki ได้บอกว่า แนวทางการ approach แบบนี้ไม่เป็นเพียงการนำงานวิจัยและวิทยาศาสตร์มาถ่ายทอดสู่เชิงพาณิชย์เท่านั้น แต่มันเป็นการเปิดแนวทางการทำงานของนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ ให้มาแก้ปัญหาของโลกให้เร็วขึ้น กว้างขวางขึ้น และ เปลี่ยนจากผู้สังเกตการเป็นไปของโลก มาเป็นผู้ลงมือและเกี่ยวเนื่องกับการใช้ผลิตผลแห่งงานวิจัยที่แก้ปัญหาตรงประเด็นและแท้จริงได้มากขึ้น
Dave Messina ที่จบการศึกษาจากโปรแกรม Genomics และเริ่มจากที่เข้ามาเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านยีน แต่เพียงเริ่มไปได้ไม่นาน Messina ก็พบว่า การที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านยีนที่แสนสมาร์ทและตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการ รวมถึงอยู่ในวงการวิชาการนั้นมันไม่ได้เป็นไปตามฝันเขานัก จนในที่สุดเขาก็ได้ออกมาทำ PhD ด้าน computational biology ที่พัฒนา software ที่ทำการวิเคราะห์ยีน และก่อตั้งบริษัทชื่อ Cofactor Genomics โดยได้รับเงินลงทุนและการเริ่งการเติบโตโดย Y Combinator (https://cofactorgenomics.com)
เดี๋ยวนี้ในมหาวิทยาลัยที่มีการผลิตแพทย์ ก็ได้เริ่มมีการมุ่งเน้นด้านนวัตกรรมและการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ร่วมถึงอาจารย์มหาวิทยาลัยให้มีความเป็นนวัตกรมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างจาก StartX ที่มีส่วนทางการแพทย์ StartX Med (https://startx.com/med) ในการบ่มเพาะและขยายผลให้เกิดนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ใช้ประโยชน์ได้จริงมากมาย รวมถึงการดึงผู้ประกอบการมาอยู่ในโครงการ accelerator ของมหาวิทยาลัยและก่อกำเนิด ecosystem ในมหาวิทยาลัย Standford ขึ้น โดยที่มีการพัฒนาให้เป็น problem-led organization และเชื่อมโยง ผู้เชี่ยวชาญ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ ผู้ประกอบการทั้งภาครัฐและเอกชน มาร่วมแก้ปัญหาและนำออกสู่ตลาดเพื่อขยายผลงานออกสู่เชิงพาณิชย์ให้มากที่สุด
จริง ๆ แล้ว การทำงานวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ค้นหาและทดสอบสิ่งที่เป็นพื้นฐานของธรรมชาติและมนุษย์ ก็มีความสำคัญมาก แต่หากจะขยายขอบเขตออกมาสู่สังคมแบบใช้นวัตกรรมได้จริงและฉับไว คงต้องคิดแบบ science startup เพื่อจะได้ไม่ออกแรงกระโดดมากเท่าไหร่ ก็ตก Valley of Dealth อยู่ร่ำไป
Reference
https://www.ycombinator.com/library/3y-how-scientists-can-thrive-in-the-startup-world
https://www.hottopics.ht/16111/top-science-startups-supercharge-science-tech-industry/
ด้วยความทรงจำอันพริ้วไหว - Alzheimer and dancing memory
Rodolphe Fouillot เป็นนักเต้น ได้อุทิศเวลาให้กับกิจกรรมและโปรเจคทางวัฒนธรรมอันหลากหลาย
เค้าได้ใช้เวลาไปโรงพยาบาลเพื่อทำ project workshop การเต้นสำหรับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ที่บ้านพักคนชรา Sainte-Anne d'Auray Châtillon ในประเทศ ฝรั่งเศษ
โรคอัลไซเมอร์ สมองของคนป่วยจะเสื่อมสภาพลำ้หน้าเดินกว่าวัยที่ควรจะเป็น สมองในส่วนของความจำและวงจรของมันที่เรียกว่า Papez circuit (วงจรของปาเปซ) ที่ทำหน้าที่เสมือนกล่องเก็บความจำจะเป็นส่วนที่เสื่อมสภาพเป็นอันดับแรกเป็นเหตุให้ความจำสูญเสียไปก่อน จากนั้นส่วนเปลือกสมอง cortex จะเสื่อมตามมา
เป็นที่น่าสนใจว่า แม้ความจำระยะสั้นจะหลงลืมไป แต่ความจำในสมองส่วนลึกและดั้งเดิมจะยังถูกเก็บรักษาอยู่ และสมองส่วนนี้ มันเก็บอารมณ์ ความรู้สึก เสียงเพลง รวมถึงจังหวะและ ดนตรีที่ชอบ
Rodolphe Fouillot นำเสรอการเต้นตามจังหวะเพลง และการแสดงอันน่าสนุก ไปใช้รักษาผู้ป่วยอัลไซเมอร์ จังหวะการเต้น จะเร้าร่างกายให้เต้นไปตามจังหวะเพลงและมันก็ส่งผลดีเหมือนการออกกำลังกาย นอกจากนี้ เนื่องจากสมองมันมีการติดต่อ เชื่อมโยงกัน อย่างแยกเป็นส่วนหนึ่งไม่ได้ จังหวะและการกระตุ้นสมองส่วนลึก จึงเชื่อมไปกระตุ้นความจำที่สูญเสียไปอีกด้วย
Rodolphe Fouillot, danseur et chorégraphe professionnel, s'investit depuis longtemps dans des projets culturels variés. Pendant un an, dans le cadre d'ateliers danse, il s'est rendu à l'EHPAD Sainte-Anne d'Auray de Châtillon (92) afin de chorégraphier une pièce pour personnes âgées. Lire l'interview : http://maladiealzheimer.fr/actualites.html#52
http://www.rodolphefouillot.com
Beer ทำให้สุขภาพดี: ชัวว์หรือมั่วนิ่ม
เบียร์กับไวน์ถือเป็นเครื่องดื่มอันสุดหฤหรรษ์ของมนุษย์ชาติ นอกจากนี้มันยังเป็นยาขนานดีที่ได้รับการรองรับจากงานวิจัยทางการแพทย์ เอ้า จงฉลองแด่ชีวิตและสุขภาพของพวกเรา เชียร์ !
ย่างเข้าเดือนตุลาคมทีไร ผมอดนึกถึงเทศกาล OctoberFest ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทศกาลเบียร์ที่ใหญ่ที่สุด ในกรุงมิวนิค เยอรมันไม่ได้ทุกที แม้ว่าที่ผ่านมาผมจะได้เพียงแต่ไปแบบเฉียด ๆ เทศกาล OctoberFest ที่กรุงมิวนิค (คือเคยไปตอนหลังเทศกาลประมาณ 1 สัปดาห์) แต่ก็ได้มีโอกาส ไปร่วม Octoberfest ที่จัดเป็นงานจำลองที่ประเทศญี่ปุ่นในแต่ละเมือง เช่นที่ เมือง Odaiba(เรียกว่า Odaibaoctoberfest) และก็มีที่เมืองอื่น ๆ อีกเพียบ เช่นที่ Yokohama เป็นต้น การดื่มเบียร์มันกลายเป็นประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติพอฟัดพอเหวี่ยงกับ การดื่มชาของจีน การดื่มไวน์ของฝรั่งเศษ และก็การดื่มกาแฟของชาวอิตาลี่ ไปเสียแล้ว
แน่นอนว่า เมื่อแพทย์ได้ยินคำว่า เครื่องดื่มอัลกอฮอล์ เราก็มักจะแนะนำคนไข้ว่า อย่าไปดื่มมันเลย เพราะมันนอกเสียจากว่ามันทำให้สมถภาพการขับขี่ยานพาหนะลดลง และก็เสี่ยงเข้าคุกจากระดับอัลกอฮอล์วิ่งพล่านในกระแสเลือดเกินขนาด การดื่มอัลกอฮอล์เป็นเวลานาน ก็จะทำให้ตับแข็งและก็ติดเป็น alcoholism ได้อีกด้วย
แต่ก็นั่นแหละ มันจะเป็นเรื่องของการหาวิธีทางวิทยาศาสตร์ในการตั้งข้อสงสัยและก็พิสูจน์ฟอกให้กิจกรรมที่ผิดเป็นถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่หลักฐานทางการแพทย์ทยอยออกมาให้คอเบียร์โห่ร้องตีปีกพับ ๆ (หาเรื่องดื่ม) ว่า เบียร์ มันไม่ได้แย่หรอก แต่มันเป็นดั่งน้ำอมฤต ที่ช่วยให้สุขภาพยืนยาวได้
ตกลง ดื่มเบียร์ สุขภาพดี ชัวว์หรือมั่วนิ่ม กันหว่า?
"เบียร์ช่วยลดอัตราการเกิดโรคและเสียชีวิตของโรคหลอดเลือดหัวใจ"
อันนี้มีรายงานจากงานวิจัยหลายฉบับ ต่างก็ประสานเสียงว่า การดื่มเบียร์ในปริมาณที่พอเหมาะ (Moderate alcohol intake) จะช่วยทำให้ กระบวนการเผาผลาญ lipoprotein ซึ่งเป็นไขมันเลวมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สาร phenolic compound ในเบียร์ (ซึ่งก็มีใน red wine เช่นกัน) จะมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเกาะตัวของเกร็ดเลือด ทำให้ป้องกันหลอดเลือดอุดตันที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะหัวใจ นอกจากนี้ยังมีสารประกอบอื่น ๆ ที่มีประโยชน์อีกเช่น benzoic, cinnamic acid, catechins, procyanidins, humulones
"เบียร์ช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งหลายชนิด"
จากการศึกษาในสัตว์ทดลอง การดื่มเบียร์จะลดปัจจัยหรือสารก่อมะเร็ง (carcinogen) ซึ่งเชื่อว่า ในเบียร์มีส่วนประกอบที่นอกเหนือจาก alcohol ที่ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ (คือ อีสาร อนุมูลอิสระนี่ มันทำให้เกิดความผิดปกติต่อการเจริญของเนื้อเยื่อที่ทำให้เกิดมะเร็งได้) ส่วนประกอบที่ว่า มันเป็นส่วนประกอบที่ทำให้เกิดรสขม (hop) ของมันหนะแหละ Hop (Humulus lupulus L.) เป็นส่วนประกอบของเบียร์ที่เป็นแหล่งของสารที่สำคัญคือ phenolic compound ด้วย มะเร็งมีหลักฐานในการลดนี้ได้ประโยชน์ทั้งหญิงและชาย ได้แก่ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร
นอกจาก ประโยชน์ที่ว่ามา ยังมีประโยชน์อีกได้แก่ ลดอัตราการเกิดโรคเบาหวาน ลดอัตราการเกิดโรคกระดูกพรุน อีกด้วย
มีคนบอกว่า เบียร์ มันทำให้ความคิดสร้างสรรค์ดีขึ้น นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งสินะ ที่ทำให้ นักสร้างสรรค์ มันเป็นนักดื่มตัวยงด้วย
เบียร์ ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ดีขึ้นจริงหรือเปล่า ผมคิดว่า ต้องดูว่า อะไรเป็นไก่ อะไรเป็นไข่ คือ จริง ๆ คนที่มีความคิดสร้างสรรค์ส่วนใหญ่มันมีพฤติกรรมที่ชอบพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง และการดื่มเบียร์ก็เป็นหนึ่งในพิธีกรรมเท่านั้น หรือ จริง ๆ แล้ว การดื่มเบียร์มันมี positive effect ในการ boost พลังสร้างสรรค์ของสมองมากยิ่งขึ้นกันแน่
ในมุมมองของผมเอง ผมว่ามันเป็น two way คือเป็นได้ทั่ง 2 ทาง การดื่มเบียร์ที่ทำให้สมองมึนตื้อเล็กน้อย ส่วนที่เป็น alcohol จะไปกดสมองส่วนที่มีการคิดเป็นตรรกะมากๆ ออกไปทำให้เกิดการปลดปล่อยสมองส่วนที่เกี่ยวกับอารมณ์ การสร้างสรรค์ การคิดใหม่ ความร่าเริง ออกมา คือจริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่แต่เบียร์หรอก แต่ เครื่องดื่ม หรือ สารเสพติดมึนเมา ทุกชนิดมันก็มีฤทธิ์แบบนี้หมดหนะแหละ สังเกตเอาจาก ศิลปิน เวลาจะวาดรูป นักแต่งเพลงเวลาจะเขียนบทเพลงดี ๆ เข้าถึงอารมณ์ได้ ก็อาจต้อง build อารมณ์กันสักหน่อย นอกจากนี้มันก็ทำให้การแลกเปลี่ยนทัศนะคติระหว่างหมู่เพื่อนกันเองเป็นไปด้วยความราบรื่นขึ้น
แหม ! บทความนี้ช่าง Pro เบียร์เสียเหลือเกินนะ
ข้อเสียของการดื่ม มันก็มี แน่นอน การดื่มเครื่องดื่มที่มี alcohol หากดื่มมากไป มันก็จะทำให้ตับไม่ดี แต่นานไป ตับก็แข็งได้ นอกจากนี้ หากดื่มในปริมาณมากจนติดหนึบหนับละก็ สมองส่วน ซีรีเบลลัมจะฝ่อ ไป ทำให้การทรงตัวไม่ดี
มี short documentary มาฝาก
มาถึงตอนนี้ มีคนถามมามากว่า ดื่มเท่าไหร่ดี
จากการแนะนำขนาดที่ดื่ม คือ เบียร์ หนึ่ง ถึง สองแก้วนะจะเป็นขนาดที่พอเหมาะพอควร พอเมา พอมึน ไม่ได้เป็นอันตราย และอาจมีผลดีต่อสุขภาพอีกด้วย แต่ขอร้อง อย่าขับรถขณะมึนเมาละกันครับ อันนี้ เกิดอุบัติเหตุ ไปเฝ้ายมบาลก่อนเห็นผลของเบียร์ต้านมะเร็งแน่ ๆ
Reference
1. Beer and health: preventive effects of beer components on lifestyle-related diseases. (http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15630301)
2. Alcoholic Beverage Preference, 29-Year Mortality, and Quality of Life in Men in Old Age (http://biomedgerontology.oxfordjournals.org/content/62/2/213.long)
3. Wine, Beer, Alcohol and Polyphenols on Cardiovascular Disease and Cancer (http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3407993/)
เมื่อเป็นแม่คน when you become A Mom
มีคนกล่าวไว้ว่า การเป็นแม่เปรียบเสมือนการค้นพบห้องแห่งความลับในบ้านของคุณเอง ที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน ซึ่งผมก็เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำกล่าวนี้ เพราะมีหลายสิ่งที่เปลี่ยน ซึ่งนอกจากการเปลี่ยนแปลงทางสถานะทางสังคม และชีวิตประจำวันต้องเปลี่ยนไปแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนจากภายในคือ อารมณ์อันอ่อนโยน จากการเปลี่ยนแปลงของสมองนั้นเอง
จริง ๆ อารมณ์หรือสัญชาตญาณการเป็นแม่ หรือ mother mind มันเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่แม่รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นกับร่างกายแล้ว เรื่องของอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หากจะเอามันมาเกี่ยวโยงทางวิทยาศาสตร์ละก็ มันก็หนีไม่พ้นเรื่องของสารสื่อประสาทและสมอง เป็นเวลานานเลย ที่นักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตพฤติกรรม ความสัมพันธ์ของแม่และลูกเกิดใหม่ (mother-newborn relationship) นักประสาทวิทยา ได้ค้นพบว่า ส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงของสมองแม่ลูกเกิดใหม่ จะมีการเปลี่ยนแปลงของสมองบริเวณ prefrontal cortex ซึ่งเป็นสมองส่วนหน้า และส่วน midbrain, parietal lobe นอกจากนี้ ส่วนใยประสาทจะมีการควบแน่นขึ้นเพื่อให้มีการส่งผ่านของกระแสประสาทได้ดี การทำงานของสมองจะถูกเร้าโดยเฉพาะในส่วนที่ควบคุมอารมณ์ ความเมตตา และปฎิกริยาทางสังคม ซึ่งหากมองลึกลงไปอีก ส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปนี้เกิดจากฮอร์โมน ที่ไหลบ่าและเปลี่ยนแปลงไประหว่างการตั้งครรภ์นัยว่าเป็นฮอร์โมนเพื่อเตรียมความพร้อมของการเป็น "Great mom"
นอกจากนี้ เมื่อแรกคลอด สมองส่วนที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลและซึมเศร้าจะเริ่มทำงาน นั้นก็ทำไปตามธรรมชาติที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้คุณแม่มือใหม่ มีสัญชาตญาณในการปกป้องลูกน้อยและระแวดระวังเป็นพิเศษ มันก็เหมือนกับเวลาเรามีความวิตกกังวลอ่อน ๆ เวลาใกล้สอบหนะแหละ เราต้องลุกขึ้นมาอ่านหนังสือ แม้ว่ามันจะดึกดื่นก็ตาม เพื่อเอาตัวรอดจากการสอบ คุณแม่ก็จะมีความวิตกกังวลเพื่อปกป้องลูกน้อยที่ยังปกป้องตัวเองไม่ได้ ซึ่งในแม่มือใหม่บางราย ก็ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้เลย อุบัติการณ์ของโรคซึมเศร้าหลังคลอด (post partum depression) จึงเพิ่มขึ้นมาก
สมองส่วน prefrontal cortex ที่ถูกกระตุ้นเป็นสมองส่วนที่มีผลมากเกี่ยวกับการย้ำคิดย้ำทำ คุณแม่มือใหม่จึงคอยวนเวียน ล้างมือ check ผ้าอ้อม และเฝ้าดูลูกน้อยอยู่ไม่ห่าง
จากการศึกษาด้วย functional neuro-imaging จากทีมจาก University College London ชี้ให้เห็นสมองส่วนที่ถูกกระตุ้นในภาวะของความเป็นแม่ และ คนที่ตกหลุมรัก ก็พบได้ว่า มันเป็นสมองส่วนเดียวกัน จนถึงทำให้บางคนที่มี romantic love ถึงขั้นลืมแม่ตัวเองเลย
สมองอีกส่วนที่มีรูปร่างเหมือนอัลมอล ที่เรียกว่า amygdala ซึ่งทำหน้าที่ในการเก็บความทรงจำและขับเคลื่อนอารมณ์เพื่อตอบสนองต่อความซึมเศร้า และความเครียดก็มีการกระตุ้นด้วย ส่วนนี้จะทำหน้าที่ในการกำหนดอารมณ์ของแม่ที่มีต่อทารก และในทางกลับกัน amygdala ของทารกก็จะเป็นตัวกำหนดอารมณ์ เสียงร้อง หน้าตา ที่มีความวิตกกังวล เจ็บปวด หัวเราะร่าเริง ส่งความรู้สึกผ่านทางหน้าตา ทางกาย ไปสู่แม่ด้วย มันเป็นการส่งผ่านการทำงานของสมองรูปอัลมอล ผ่านสารสื่อประสาทโดยมีร่างกายและท่าทางของร่างกายเป็นตัวกลางนั้นเอง
การส่งผ่านของสารสื่อประสาทและท่าทางต่อกัน (interaction) มันทำให้เซลล์ประสาทหลายล้านตัวในสมองเกิดการกระตุ้นซึ่งกันและกัน เมื่อลูกมีความสุข แม่ก็มีความสุข เมื่อลูกมีความทุกข์ แม่ก็มีความทุกข์ เมื่อมีการกระตุ้นซึ่งกันและกัน จะมีการส่งผ่านการกระตุ้นไปยังสมองส่วนที่มีการให้รางวัลแห่งความสุข (brain reward system) ซึ่งอุดมไปด้วยฮอร์โมนแห่งความสุข และมันก็เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่นกับสมองส่วนที่เกี่ยวกับความทรงจำเสียด้วย
เชื่อไหมว่า แม่ของคุณ จะไม่มีวันลืมวินาทีที่เห็นหน้าและรอยยิ้มของคุณเลย
ทำไม จึงเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น มันเป็นเรื่องของธรรมชาติสร้างสรรค์สิ่งที่งดงามขึ้น ซึ่งมันได้รับการปรุงแต่งและขัดให้เนียนมานับล้าน ๆ ปีเลย
บอกรักแม่นะครับ เพราะมันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทรงคุณค่าของชีวิต และเป็นความงดงามของธรรมชาติ
Ref.
1. http://www.medical-neurosciences.de/fileadmin/user_upload/microsites/studiengaenge/neurosciences/cns-2014-i7i2.pdf
The beautiful death
ความตาย...หลาย ๆ คนกลัว ...
บางคนบอกว่า ไม่กลัวความตายแต่กลัวการพลัดพราก พลัดพรากจากของที่รัก พลัดพรากจากการเป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะของรัก คนรัก หรือร่างกายตนเองอันเป็นที่รัก
บางคนไม่กลัวความตาย แต่กลัวผี ซะงั้น
ในประเทศไทย การพิจารณาความตาย เป็นกิจของสงฆ์ หรือ ผู้ที่ต้องการปลงและพิจารณาถึงสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน และกฏแห่งธรรมชาติ สมัยผมเรียนเป็นนักศึกษาแพทย์ปี 5 วิชานิติเวช ขณะที่เหล่านักศึกษาแพทย์กำลังชำแหละชันสูตร พลิกศพ จะมีอัฒจันทร์ด้านตรงข้ามเป็นที่ยืนของพระสงฆ์ ที่เข้ามาพิจารณาศพ เพื่อปลงสังขารอยู่ด้วย ส่วนพวกเรา นักศึกษาแพทย์ มองด้วยความสนใจใฝ่รู้ หาสาเหตุของการตายผิดธรรมชาติของศพนั้น
สงฆ์ พิจารณาความตาย เป็นเรื่องธรรมชาติ
แพทย์ สืบหาสาเหตุตาย ที่ผิดธรรมชาติ
ศพเดียวกัน ต่างมุมมอง !
ความตาย...หลาย ๆ คนไม่กลัว...
นอกจากไม่กลัวแล้วยังเห็นความสวยงามของความตายเสียอีก เรียกว่า Art of Death, and Beautiful of illness
มองมันเป็นเรื่องธรรมชาติ มองมันเป็นเรื่องของสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เมื่อเลี่ยงไม่ได้ ก็เผชิญกับมันและมองมันให้งดงาม
การมองความตายเป็นเรื่องสวยงามเป็นเรื่องยาก แม้สัปเหร่อที่มีหน้่าที่จัดศพให้งดงาม ก็มองความตายเป็นเรื่องที่ไม่น่ารื่นรมย์นัก
การจัดฉากความตาย ภพภูมิแห่งความตายในประเทศไทย มักเห็นอยู่ในวัด แต่เป็นลักษณะของการสอนให้ปลงหรือมีความเชื่อทางศาสนาแอบแฝงอยู่ ส่วนในต่างประเทศ ซึ่งผู้คนส่วนหนึ่ง มีความคิดทางวิทยาศาสตร์และตรรกะสูง(ซึ่งก็ทำให้หนังสือ God delusion ขายดีเป็นเทน้ำ เทท่า) มักมองการเกิดใหม่เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ และมักจะเชื่อมความเจ็บป่วยหรือความตายเข้ากับความงาม และ ศิลปะ
ดังจะได้เห็น museum ในหลาย ๆ ประเทศ เป็น medical museum ที่ว่าด้วยเรื่องความเจ็บป่วย ประวัติศาสตร์ และความตาย
ผมเคยเปิด web site เรื่องเกี่ยวกับศิลปะของ ร่างกาย ความตาย และการเจ็บป่วย ให้เพื่อน ๆ และบุคคลที่สนิทชิดเชื้อดู แต่ละคนทำหน้า เหมือนผีเข้า แล้วบอกว่า "มึงจะบ้าเหรอ ทำไมไม่ไปดูดอกไม้ ใบไม้ มันน่ารื่นรมย์ กว่าเยอะ"
ผมบอกว่า "ในขาวมีดำ ในดำมีขาว" (ไม่ใช่ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว นะ) "ในความตาย มีความงามเสมอ และ vise versa ในความงาม มีความทุเรศ เสมอ"
หลาย ๆ museum เป็น museum ที่เกี่ยวข้องกับความตายโดยเฉพาะ เช่น Morbid anatomy LIbrary and Museum ที่ New York ซึ่งเป็นนิทรรศการว่าด้วยเรื่องความงามกับความตายโดยเฉพาะ (http://morbidanatomy.blogspot.com/p/morbid-anatomy-library.html)
ผมยังไม่เคยไป New York และ ไม่เคยอยากไป (เพราะแพทย์รุ่นน้องที่ไปเป็นนักศึกษาดูงาน บอกว่า มีขี้หมา เต็มเมือง) แต่อยากไป Museum ที่ New York ที่มี Museum เกี่ยวกับความตาย
ใน London ก็มี Museum ที่แม้ว่าไม่ได้เกี่ยวกับ ความตายโดยตรง แต่ก็มีร่างกาย ความเปื่อยแห่งร่างกายที่เป็นโรค การผ่าตัดศพและคน ที่อยู่ใน Museum นั้นเป็นจำนวนมาก โดย Museum ที่ผมเคยไป ใน London ได้แก่
Hunterian Museum: http://www.rcseng.ac.uk/museums
Wellcome Library: http://wellcomelibrary.org
ขอเตือนไว้ก่อนว่า หากคุณเป็นพวกโลกสวย อาจผิดหวังได้ !