ใน 10 ปีข้างหน้า เราจะยังต้องไปหาหมออยู่ไหม หรือเราจะพิมพ์คำถามใส่แอป AI แล้วได้คำตอบรักษาโรคทันที?
คำถามที่ดังขึ้น เมื่อคนดังอย่าง Bill Gates เคยทำนายว่า “ภายใน 10 ปี AI จะให้คำแนะนำทางการแพทย์ได้ในระดับผู้เชี่ยวชาญ และจะเปลี่ยนวิธีที่เราพบหมอไปตลอดกาล”
เขาใช้คำว่า “free intelligence” — ความฉลาดที่แพร่หลายโดยไม่ต้องเสียเงิน
ประจวบกับ ผมไปพบ VC ท่านนึง เป็นการนัดพบปะกันโดยการเตรียมงานของ อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ นั้นก็เป็นคำถามเดียวกัน คุณคิดว่า solution telemedicine ของคุณ จะยังต้องการอีกเหรอ ในเมื่ออีก 10 ปี ก็ไม่ต้องการหมอสักเท่าไหร่แล้ว
มันเป็นเรื่องง่ายขนาดนั้นเลย ที่อยู่ ๆ AI มาแทนแพทย์ หรือ ในความเป็นจริงอาจยากกว่านั้น—เพราะการ “แทนที่” หมอ ไม่ได้มีแค่เรื่องความรู้ แต่รวมถึง การตัดสินใจที่ซับซ้อน, การสื่อสารกับคนไข้, และความเข้าใจความรู้สึกมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ยังทำไม่ได้ 100%
ก่อนจะไปจุดนั้น เรามาดูจุดนี้กันว่า AI ทำอะไรแล้วบ้าง
AI เก่งอะไรแล้วบ้าง?
การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่
AI อ่านภาพเอกซเรย์หรือ MRI ได้เร็ว และบางครั้งแม่นยำกว่ารังสีแพทย์ในงานวิจัย แต่ยังต้องมีหมอตรวจสอบซ้ำ เพื่อกันความผิดพลาดจากบริบทเฉพาะคนไข้ช่วยงานเอกสารและการจดบันทึก
ระบบ AI บันทึกข้อมูลคนไข้หรือช่วยสรุปเวชระเบียน ทำให้หมอมีเวลามากขึ้นสำหรับการดูแลคนไข้จริง ๆคาดการณ์ความเสี่ยง
AI สามารถประเมินความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หรือหัวใจ ได้จากข้อมูลสุขภาพและพฤติกรรม
แต่ AI ยังขาดอะไร?
ความเข้าใจมนุษย์ (Empathy): เวลาหมอบอกผลตรวจหรือข่าวร้าย สิ่งที่คนไข้ต้องการคือ “คนที่ฟังและเข้าใจ” ไม่ใช่เสียงหุ่นยนต์ ซึ่งแน่นอนว่า ตอนนี้คนก็เริ่มจะคุยกับ AI บ้าง แต่ต้องอาศัยความเชื่อใจและข้อมูลกันอีก
การตัดสินใจในสถานการณ์ซับซ้อน: ห้องฉุกเฉินคือสนามทดสอบที่ AI ยังไม่พร้อม เพราะต้องตัดสินใจในเสี้ยววินาที โดยมีข้อมูลไม่ครบ เป็น เพราะ ER อาศัยข้อมูล ดังนั้น การประมวลผลจะมีปัญหา
ความรับผิดชอบและกฎหมาย: ถ้า AI วินิจฉัยผิด ใครรับผิดชอบ? หมอ? บริษัท AI? หรือไม่มีใครเลย?
มาดูข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ กัน
สำรวจจากงานวิจัย & การสำรวจผู้เชี่ยวชาญ
1. การสำรวจนักวิจัย AI/Machine Learning
ผลสำรวจปี 2017 โดย Grace และคณะ พบว่า AI มีความน่าจะเป็นสูง (50%) ที่จะสามารถทำงานเป็น ศัลยแพทย์ ได้ดีพอในปี 2053 arXiv
การสำรวจในปี 2022–2024 ก็มีแนวโน้มคล้ายกัน: AI มีโอกาส 10% ที่จะความสามารถสูงกว่าคนในทุกงานภายในปี 2027 และ 50% ภายในปี 2047 แต่การแทนที่คนทั้งหมดในงานต่าง ๆ คาดว่าจะเกิดในราวปี 2116 arXiv
2. สำรวจแพทย์เฉพาะด้านจิตเวช
จากแพทย์จิตเวช 791 คนใน 22 ประเทศ มีเพียง 3.8% ที่เชื่อว่า AI จะให้การดูแลด้วยความเข้าใจ (empathetic care) ได้เต็มรูปแบบ
แต่พอถามถึงงานเอกสารหรือช่วยวินิจฉัย กลับมองว่า AI มีศักยภาพแซงหน้ามนุษย์ได้ในบางด้าน arXiv
3. รายงานจาก AMA (สมาคมแพทย์อเมริกัน)
AMA เสนอว่า AI จะเปลี่ยนทุกอย่างในวงการแพทย์โดยแพทย์ที่ใช้ AI จะมีความได้เปรียบกว่าแพทย์ที่ไม่ใช้
แต่ก็มีความกังวลเรื่อง bias, ความเป็นส่วนตัว, ความรับผิดชอบ และ AI ที่ให้คำแนะนำผิดได้ American Medical Association
4. บทวิเคราะห์ในวารสารการแพทย์
ความเปลี่ยนแปลงของการจ้างงานในวงการแพทย์อาจไม่เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายใน 20 ปีข้างหน้า เนื่องจากข้อจำกัดของข้อมูล, regulation และ technical challenges PMC
เรามาคาดการณ์ในแต่ละช่วงเวลากัน
5 ปีแรก (วันนี้–2030)
AI จะ เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ ให้หมอ เช่น สรุปผลตรวจ, คัดกรองผู้ป่วย, วิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์
หมอที่ใช้ AI จะทำงานได้เร็วและแม่นยำกว่าเดิม
ผู้ป่วยบางกลุ่มอาจใช้ AI chatbot ก่อนมาโรงพยาบาล เพื่อรับคำแนะนำเบื้องต้น
10 ปีข้างหน้า (2035)
AI จะสามารถให้ คำปรึกษาสุขภาพขั้นพื้นฐาน แทนแพทย์ทั่วไปในบางกรณี เช่น โรคเบื้องต้นหรือคำแนะนำสุขภาพ
แต่หมอจะยังเป็นคน ตีความผล AI, วางแผนการรักษาซับซ้อน และให้กำลังใจคนไข้
คลินิกบางแห่งอาจมี “หมอคู่ AI” — หมอคนเดียว แต่มีระบบ AI คอยเสริมเบื้องหลังทุกขั้นตอน
30 ปีข้างหน้า (2050)
อาจมี AI ที่ทำผ่าตัดหรือดูแลโรคซับซ้อน แต่ภายใต้การกำกับของหมอ
หมอในอนาคตอาจกลายเป็น “ผู้ควบคุมระบบ AI” มากกว่าทำทุกอย่างเอง
หมอจะหายไปไหม?
คำตอบคือ ไม่หาย แต่จะเปลี่ยนบทบาท
จาก “ผู้ให้คำตอบ” ไปเป็น “ผู้ดูแลกระบวนการรักษา” และ ที่ปรึกษาด้านอารมณ์และจริยธรรม AI อาจเก่งกว่าในเรื่องข้อมูล แต่ไม่สามารถจับมือให้ความมั่นใจคนไข้ หรือเข้าใจความซับซ้อนของชีวิตมนุษย์ได้